Mono and Yaheem's Side Story
Wounded

 

ทันทีที่ถึงอารามและแยกจากยาฮีม สองเท้าของร่างน้อยก็รีบซอยถี่ๆ พาร่างกลับเข้าอารามทางประตูเล็กๆ ด้านหลัง วิ่งลงบันไดแบบจวนเจียนสะดุดหัวทิ่มไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งจนไปถึงประตูห้องตน ทันทีที่ปิดประตูห้องก็ถอดรองเท้ากับเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนกองทิ้งไว้บนพื้นข้างเตียง ส่วนตัวเองทิ้งตัวลงนอนคว่ำหน้าบนเตียงโดยไม่สนว่าผ้าปูเตียงจะเปื้อนดินไปด้วย ปล่อยน้ำตาหยดเป็นดวงบนหมอน เบื้องหน้าวางสร้อยเปลือกหอยที่มีรอยร้าวดั่งลางร้ายไว้ให้เห็นตำตา ในศีรษะเต็มไปด้วยความคิดล่องลอยและอาการปวดตุบๆ ที่เริ่มทวีตามอย่างไม่ยอมคลาย

ความทรงจำถึงความอบอุ่นเมื่อหัวค่ำยิ่งตามหลอกหลอน ทั้งถ้อยคำและสัมผัสที่อ่อนโยนกับความสุขอันเบาบางเหมือนได้ล่องลอยอยู่ท่ามกลางกลุ่มดาวกับคนที่รักและทะนุถนอมเธอ ไม่ใช่เพื่อให้มาถูกข่มเหงในทีหลังอย่างนี้ บางขณะช่วงเวลานั้นก็เลือนรางเหมือนผ่านไปนานแสน บางขณะก็ชัดเจนแจ่มชัด ตอกย้ำเสียดแทงสลับกับความรุนแรงที่เพิ่งประสบมาหมาดๆ

พี่คนจร...ข้าอยากพบท่านที่สุด ข้าคิดผิดไปแล้วจริงๆ ที่คิดจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง ถ้าข้าไม่ขอมาบอกลาทุกคน...ก็คงไม่เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น แล้วเพราะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น...เราคงหนีไปด้วยกันไม่ได้อีกแล้ว

ข้านี่มันโง่ มันบ้าจริงๆ ไม่เหลืออีกแล้ว...ไม่เหลือใครที่ข้าต้องล่ำลาอีกแล้วนี่นา ทุกๆ คนก็คงแค่ดูแลข้าไปตามหน้าที่เท่านั้น กระทั่งยาฮีม...กระทั่งพี่ชายของข้าที่ข้าอยากพูดดีๆ ด้วยอย่างน้อยสักครั้งก่อนต้องจากกันก็กลับกลายเป็นคนแบบนั้น...คิดจะทำเรื่องโสมมแบบนั้นกับน้องสาวของตัวเองได้ลงคอ

หรือนี่จะเป็นบทลงโทษของเธอ องค์สุริยเทพกำลังลงโทษเธอที่บังอาจมีความรัก...บังอาจละเมิดข้อห้าม...บังอาจคิดจะใช้ชีวิตกับคนที่รักทั้งๆ ที่ตนเองเกิดมาพร้อมกับบาปหนาใช่ไหม

นี่เจ้า... โมโนนึกในใจกับอีกคนหนึ่ง ว่ายังไง ไหนว่าจะหาทางเอาตัวรอดให้ข้ากับพี่คนจรไม่ใช่หรือ ตอนนี้จะให้ข้าทำอะไรต่อไปอีก มีความคิดอะไรดีๆ ก็บอกข้ามาสิแม่คนฉลาด

ไร้เสียงตอบ เด็กสาวเจ็บใจเหลือเกิน ก็ในตอนนั้นอีกคนหนึ่งนั่นมาบอก...ไม่สิ...บังคับให้ยอมด้วยซ้ำ แล้วผลเป็นอย่างไรเล่า ต่อให้ยาฮีมได้ครอบครองตัวเธอไปจริงๆ ก็คงคิดจะลากคอพี่คนจรมารับโทษด้วยกันอยู่ดี...

...เท่ากับว่าถึงอย่างไรตอนนี้เธอกับเขาก็เป็นลูกไก่ในกำมือของยาฮีมดีๆ นี่เอง...

เขาจะบีบหรือจะคลายก็คงจะขึ้นอยู่แต่กับทางเลือกของลูกไก่ตัวนี้แล้วเท่านั้น...


ชายหนุ่มเพิ่งพูด "แยกกันตรงนี้นะขอรับ" ไม่ทันจบประโยคด้วยซ้ำเมื่อร่างเล็กๆ นั้นสะบัดหน้าหนีและรีบจ้ำจากไปเร็วจนแทบเป็นวิ่ง เหมือนกับช่วงบ่ายที่เขาไปพบเธอที่ริมทะเลสาบไม่มีผิด

ยาฮีมมองตามร่างที่ผลุบหายไปเข้าไปในประตูหลังของอารามนิ่งอยู่อีกครู่หนึ่งก่อนจะกลับหลังหันและเดินเข้าไปในเรือนพัก กลับเข้าห้องของตนอย่างเงียบกริบด้วยความเคยชินที่กระทำมาทุกวันเป็นกิจวัตร

แต่วันนี้ ทันที่ที่ปิดประตูห้องลงแล้ว เขาก็ทิ้งน้ำหนักลง หลังครูดไปกับประตูจนกระทั่งร่างเลื่อนไปนั่งกองอยู่บนพื้น ดวงตาจ้องตรงไปเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย ก่อนริมฝีปากจะขยับกระซิบ

"...สัตว์..."

มือหนึ่งเลื่อนไปกดรอยแผลบนอก บีบแน่นให้ยิ่งเจ็บแปลบและเรียกเลือดให้หลั่งไหล ในคลองจักษุเห็นภาพของ 'พ่อ' ปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้า... 'พ่อ' ที่อยู่ในรูปของปีศาจร้ายในความมืดยามราตรี

"ไอ้สัตว์นรก...ไอ้ปีศาจ...แกมาสิงสู่ข้าทำไม!...ข้าไม่อยากเป็นปีศาจ!! ข้าไม่อยาก...ไม่อยากทำร้ายแม่เลยสักนิด!!"

ดวงตาเย็นชาของร่างเบื้องหน้าเพียงมองอย่างหยามเยาะ ศีรษะโคลงอย่างเวทนา

แกมีเลือดของข้า...แกก็ต้องเป็นเหมือนข้าอยู่แล้ว  ในความเงียบคลับคล้ายจะมีเสียงเอ่ย

"ไม่...ไม่ใช่!! ข้าไม่ใช่ลูกแก!!"

แล้วเป็นลูกของไอ้คนเถื่อนนั่นหรือยังไง

ภาพของ 'พ่อ' หลอมเลือนหายไปกลายเป็นชายคนนั้นที่เคยยิ้มให้เขา เคยสัญญาว่าจะพาเขากับแม่ไปอยู่ในที่ที่มีความสุขกว่านี้

"ไม่ใช่! มันก็เป็นปีศาจ!! ไอ้คนผิดสัญญา!! ข้าไม่ใช่ลูกของทั้งแก...ทั้งมัน!! ข้าเป็นลูกของแม่...แม่คนเดียวเท่านั้น!!"

แต่แกก็เกิดมาเพราะการกระทำเยี่ยงปีศาจมิใช่หรือ...ทั้งแก...ทั้งโมโน...กำเนิดของทุกๆ คนในโลกมันบริสุทธิ์สะอาดที่ไหนกันเล่า...

เห็นไหม...สิ่งที่แกทำมันไม่ผิดสักนิด ใครๆ ก็ทำกันทั้งนั้น

ไอ้คนที่ยอมรับความจริงไม่ได้อย่างแกนี่มันน่าสมเพชจริงๆ

"แต่โมโน...โมโนเป็นท่านหญิง...ข้าเคยสาบานไว้ว่าจะปกป้องนาง..."

ท่านหญิงที่แปดเปื้อนไปแล้วเพราะไอ้คนเถื่อนคนหนึ่ง นางยังเหลือความบริสุทธิ์ให้แกต้องปกป้องอีกหรือยังไง

"ถึงอย่างนั้น...นางก็เป็นลูกของแม่...เป็นลูกของแม่เหมือนกับข้า...แม่บอกว่าข้าต้องเป็นพี่ที่ดี...ข้าต้องดูแลนาง..."

แล้วทุกวันนี้แกทำตัวเป็นพี่ที่ดีอยู่แล้วหรือ...ทางอารามห้ามไม่ให้แกคิดว่าตัวเองเป็นพี่ของนางไม่ใช่รึ ไอ้ความเป็นพี่น้องนั่น...แกจะลืมมันไปเสียเลยก็ได้

ถึงตอนนั้นแกจะทำลงไปจริงๆ...นางจะทำอะไรได้ เพราะถ้าบอกไปก็เท่ากับประจานความผิดตัวเองกับไอ้คนเถื่อนนั่นออกมาด้วย ไม่นานนางก็จะตายอยู่แล้ว...และความลับทั้งหมดก็จะตายไปพร้อมกับนาง

แกจะมานั่งเสียอกเสียใจด้วยเหตุผลบ้าๆ นี่ทำไม...น่าจะเสียดายโอกาสที่ผ่านไปแล้วมากกว่า

ข้าถึงได้บอกไงเล่าว่าแกมันน่าสมเพช

"แต่ข้า...ข้าไม่อยากให้โมโนต้องร้องไห้...ข้าไม่อยากทำให้นางต้องร้องไห้เลยแม้แต่นิดเดียว!! แม่ร้องไห้มาเยอะแล้ว...เพราะไอ้ปีศาจนั่น ข้าไม่อยากให้โมโนต้องร้องไห้อีก...แต่...แต่หลายๆ อย่างที่ข้าทำลงไป...กลับ...กลับทำให้นางต้องเสียใจ...ต้องร้องไห้ เหมือนแม่..."

น่าสมเพช

"...แม่..."

ยาฮีมยกสองมือขึ้นปิดหน้าและสัมผัสความเปียกชื้น มันคืออะไรกันนะ เลือดจากแผล...เหงื่อจากหน้าผาก...น้ำจากดวงตา...หรือทั้งสามสิ่งผสมกัน เขากลับเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ ที่ร้องไห้ด้วยความกลัวกับภาพปีศาจที่ทำร้ายแม่ ทว่าครั้งนี้แม่ก็คือโมโน ปีศาจไม่ใช่ทั้งพ่อ...ชายคนนั้น...หรือเด็กหนุ่มคนจร แต่เป็นตัวเขาเอง

เขาไม่รู้ว่าตนเองยกมือเปียกชื้นปิดหน้านิ่งอยู่นานเท่าใด แต่เมื่อเสียงไก่ขันมาแว่วๆ เรียกให้เขาคลายมือออก ก็พบว่าเงาของปีศาจถูกแสงแดดรำไรจากหน้าต่างขับไปเสียแล้ว ชายหนุ่มเดินเข่าไปที่ข้างเตียง ประสานมือเปื้อนเลือดและน้ำตาไว้เบื้องหน้าขณะค้อมศีรษะลง

"องค์สุริยเทพผู้ทรงพระเมตตา โปรดทรงอภัยให้บาปทั้งปวงของข้าบาทด้วย ข้าบาทพร้อมกระทำตามบัญชาของพระองค์ทุกประการ แบกรับความทุกข์ทุกสิ่งอันแม้นหนักหนาเพียงไร บนเส้นทางแห่งการไถ่บาปที่โรยด้วยเรียวหนาม เพียงวอนขอให้ที่สุดปลายทางนั้น พระองค์ทรงนำทางข้าไปสู่การไถ่ถอนด้วยเถิด"

ยาฮีมค้อมศีรษะลงเมื่อจบคำภาวนา เช่นทุกๆ เช้าหลังจากลงโทษตนเองแล้ว จากนั้นเขาจึงได้ลุกขึ้นยืน เตรียมเสื้อผ้า ชุดเกราะและหน้ากากเพื่อไปอาบน้ำชำระกายก่อนองครักษ์ประจำอารามคนอื่นๆ


โมโนยังคงนอนร้องไห้อยู่นาน กระทั่งปวดตาและน้ำตาเหือดแห้ง กระทั่งเสียงสะอื้นกลับกลายเป็นหายใจกระตุกๆ ในลำคอ แต่ในที่สุด เธอก็นึกได้ว่าตนเองต้องรีบจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเพื่อไม่ให้เกิดพิรุธยามเมยามาปลุก

ชุดสกปรกต้องใส่ตู้ไว้ก่อน แล้วค่อยหาทางแอบออกเอาไปซักล้างเองทีหลัง ส่วนตัวเธอตอนนี้ก็ต้องรีบเอาชุดสะอาดมาใส่ เด็กสาวคว้าชุดสีขาวชุดแรกที่ใกล้มือที่สุดจากในตู้ออกมา แต่พอก้มมองตนเองก่อนสวมก็เกิดใจหายวาบขึ้นมาอีกครั้ง

รอยช้ำและรอยจ้ำต่างๆ ปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไรเธอเพิ่งรู้ตัวในตอนนี้ มีตั้งแต่ลำคอ ไหล่ ไล่ลงไปจนต้นแขน กระทั่งที่ข้อมือยังเหมือนจะมีรอยบีบขึ้นเป็นปื้นสีเขียวเสียด้วยซ้ำ

และที่ร้ายที่สุดคืออาการปวดตึงๆ ที่แก้มซึ่งกำเริบขึ้นถูกจังหวะเป็นการเตือน ทำให้เด็กสาวรีบพาดชุดไว้กับพนักเก้าอี้แล้วคว้ากระจกเงาบนโต๊ะขึ้นส่อง

เป็นอย่างที่คิดจริงๆ รอยตบบวมแดงขึ้นมาจนเห็นได้ชัดถ้ามองใกล้ๆ

โมโนรินน้ำจากเหยือกลงอ่างดินเผา วักขึ้นล้างหน้าล้างคราบดินที่ยังติดอยู่ออกไป น้ำเย็นและปลายนิ้วต้องแผลจนแสบแปลบขึ้นมาทำให้ต้องสูดปากน้อยๆ เธอมองสำรวจคราบดินตามเนื้อตัว โดยเฉพาะแขนขาที่จะโผล่พ้นแขนเสื้อกับชายกระโปรงออกมา แล้วล้างพวกมันออกอย่างลวกๆ ก่อนจะสวมชุดสีขาวทับ เก็บเปลือกหอยร้าวใส่ลิ้นชักโต๊ะรวมกับสร้อยเปลือกหอยของแม่ และนั่งบนเก้าอี้ เปิดกระปุกแป้ง ผัดหน้ากลบรอยแดงบนแก้มให้จางลง หวีผมเผ้าให้เรียบร้อย จากนั้นจึงรอเวลาที่เมยาจะมา

ภาพสมุดบันทึกท่ามกลางตั้งหนังสือที่วางเรียงอยู่บนโต๊ะทำให้เด็กสาวคิดว่าจะเขียนระบายเรื่องเมื่อคืนนี้ลงไปดีไหมหนอ แต่ก็นึกว่าอย่าเลย...มันไม่ดีกับใครๆ ทั้งนั้นแม้แต่ตัวเธอเองที่จะจดจำ เธอจึงได้แต่นั่งนิ่งประสานมือเข้าด้วยกัน รอให้เวลาค่อยๆ คืบคลานผ่านไป

อีกครู่ก็มีเสียงเคาะเบาๆ ตามธรรมเนียมก่อนหญิงวัยกลางคนจะเปิดประตูเข้ามา

"ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ" นางทักอย่างแปลกใจ โมโนปัดปอยผมให้บังแก้มที่ถูกตบทับอีกชั้นหนึ่งก่อนจะหันไปตอบ

"ฝันร้ายน่ะ เลยนอนต่อไม่หลับ"

หญิงคนนั้นเข้ามาพร้อมกับแขวนตะเกียงที่ถืออยู่ไว้ที่ตะขอข้างประตู แล้วจึงก้าวมาหาเด็กสาวที่ยังนั่งอยู่

"ฝันว่าอะไรหรือเจ้าคะ เล่าออกมาไหมจะได้สบายใจขึ้น"

"อย่าเลย มันก็เป็นแค่ฝันเท่านั้นล่ะ" โมโนรีบปฏิเสธ "แต่...ตอนตื่นมาข้าร้องไห้เสียยกใหญ่ ไม่ต้องแปลกใจหรอกนะถ้าตาบวม"

เด็กสาวเหลือบมาส่งยิ้มน้อยๆ ให้อีกฝ่าย พอให้คลายกังวล ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ หันแก้มด้านที่ไม่มีรอยตบให้ใกล้กับเมยามากกว่าในตอนเดินอ้อมไปที่ตู้เสื้อผ้า

"รีบไปอาบน้ำดีกว่าจะได้สดชื่นขึ้น" โมโนหยิบชุดเสื้อผ้าใหม่ที่พับไว้เรียบร้อย ก่อนจะพูดต่อเมื่อนึกขึ้นได้ "เอ้อ...แล้ววันนี้ข้าขอทานอาหารเช้าในห้องได้ไหม กลัวท่านเอมอนจะติดหวัดไปด้วยน่ะ"

"ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปแจ้งพระเถระให้นะเจ้าคะ" การที่หญิงรับใช้ตอบรับอย่างง่ายๆ ทำให้เด็กสาวโล่งอกเป็นที่สุด

เมยาพาเธอไปที่ห้องอาบน้ำเฉพาะของผู้ถูกเลือกที่เป็นบริเวณปิดด้านหลังของอาราม ทุกๆ วันจะมีข้ารับใช้ของอารามคอยต้มน้ำเตรียมให้เธออาบอยู่เสมอเป็นกิจวัตร

หลังจากพยายามขัดถูเนื้อตัวจนแสบผิวเหมือนจะลบล้างคราบที่ไม่อาจมองเห็น เด็กสาวก็นั่งแช่ในถังไม้มองรอยช้ำต่างๆ ที่ดูพร่าไหวเลือนรางใต้น้ำอุ่น อดนึกในใจอย่างขื่นๆ ไม่ได้ว่า...หากไม่ได้เห็นรอยพวกนี้ เธอจะรู้สึกเหมือนตนเองเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือเปล่าหนอ หรือว่าจริงๆ แล้วก็ยังเป็นโมโนคนเดิมอยู่ดี

แล้วถ้าไม่ใช่เพราะยาฮีม...เธอจะยังเห็นรอยพวกนี้ไหม

ไม่มีทางหรอก พี่คนจรนุ่มนวลเสียเหลือเกินยามตระกองกอดเธอไว้แนบอก เอาใจใส่ให้รู้สึกเหมือนได้รับการปกป้อง อบอุ่นและแสนสุข ไม่ได้ให้ความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนตราบาปหรือรอยมลทินเลยสักนิด

...ไม่ใช่ตะกละตะกลาม หมายใช้เธอเป็นเครื่องสนองความต้องการอันต่ำทรามเยี่ยงสัตว์โดยไม่คำนึงถึงใจของเธอเลยแบบอีกคนหนึ่ง และทิ้งรอยแผลไว้แบบนี้...

แต่เขาก็มีแผลเหมือนกันไม่ใช่หรือ...แผลที่ไปกรีดตนเองอยู่ทุกๆ วัน ตั้งแต่วันที่เธอก่นด่าเขาที่ฆ่าท่านปู่โยเร ทั้งแผลเป็นและแผลสดกระจัดกระจายเต็มร่างจนดูเหมือนจะไม่มีวันหายเสียแบบนั้น...

เมื่อนึกย้อนไป เด็กสาวก็รู้สึกเหมือนลำคอตีบตัน น้ำตาชุดใหม่พาลจะไหลออกมา นี่คือเรื่องที่เธอต้องขอโทษหรือเปล่านะ

และยิ่งคิดต่อ เธอก็อดนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนขึ้นมาอีกไม่ได้ ไม่ผิดใช่ไหมที่เธอไม่ยอมรับคำขอโทษของเขา ทั้งๆ ที่ในทีแรกเขาสำนึกผิดจริงๆ เธอรู้ เธอบอกได้จากแววตาก่อนที่เขาจะคลุมผ้าให้และผละจากไป และหากเขาห้ามตนเองไม่ได้ในตอนนั้น เหตุการณ์ก็คงกลับเลวร้ายอย่างไม่มีทางแก้ไขอีกแล้ว

เธอเสียอีกที่ไม่ยอมรับคำให้อภัย โมโนไม่เคยคิดว่าตนเองจะให้อภัยผู้ชายที่กระทำแบบนี้กับผู้หญิงได้ กระทั่งในตำนานบางเรื่องที่เธอแอบได้ยินจากหญิงมีอายุในหมู่บ้านเล่าให้พวกเด็กสาวๆ ฟังเป็นอุทาหรณ์ว่าพระเอกข่มเหงนางเอก แต่สุดท้ายก็มาเข้าอกเข้าใจว่ารักกันและได้แต่งงานกันในที่สุด เธอยังไม่ชอบพระเอกแบบนั้นเอาเสียเลยด้วยซ้ำ ไม่เข้าใจเลยว่าจะมีหญิงคนใดรักชายที่ทำลายความเชื่อใจของตนอย่างร้ายกาจเช่นนั้นได้ เผลอคิดว่าต่อให้เป็นพี่คนจรที่ทำเช่นนั้นกับตนเอง ความรักที่มีก็คงกลับกลายเป็นความเกลียดชังในชั่วพริบตาอย่างไม่ต้องสงสัย

...แล้วนับประสาอะไรกับยาฮีม...

ถึงจะไม่ได้รักในแบบนั้น เธอก็ยังเชื่อใจ อยากจะรักษาอัธยาศัยอันดีต่อกันในฐานะพี่ชายหรือองครักษ์อารักขาไว้ ตอนนี้ความเชื่อใจและความรู้สึกดีๆ ที่อาจเคยมีให้กันมันแหลกเหลวเสียไปตั้งแต่ตอนที่รู้ตัวว่าเขาคร่อมอยู่เหนือร่างของตน ฉกฉวยลวนลามโดยไม่คำนึงถึงใจเธอเลยแม้แต่น้อยแล้ว

หรือว่าเพราะอย่างนี้ เธอเลยเป็นคนทำให้เรื่องบานปลายไปเพราะไปทำปากคอเราะร้าย พูดจากระทบกระเทียบประชดประชันด้วยโทสะ คงเพราะทำตัวไร้เหตุผลนักเขาจึงได้ตะคอกใส่ด้วยถ้อยคำหยาบช้าถึงปานนั้น เพราะว่ากันตามจริง ตอนนั้นถ้าเขาจะหักหาญใช้กำลังกับเธอก็ทำได้ ตัวเธอเองนี่ล่ะที่จะน้ำท่วมปาก เพราะขืนบอกใครไปก็เท่ากับพาพี่คนจรมาตายด้วยนั่นเอง

...และนั่นเป็นสิ่งเดียวที่เธอจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด...

หมายความว่าข้าควรให้อภัยยาฮีมอย่างนั้นหรือ... โมโนถามตนเองพร้อมกับแตะรอยแผลบนแก้ม

ไม่สิ...คำถามไม่ใช่ว่าควรหรือไม่ควร แต่อยู่ที่ตัวเธอเองจะให้อภัยเขาได้หรือเปล่าต่างหาก...

และเด็กสาวก็ยังไม่มีคำตอบในขณะนี้...ในยามที่รอยแผลจากเหตุการณ์ครั้งนั้นยังไม่จางหายไปเลยด้วยซ้ำ


เมื่อยาฮีมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จมาถึงห้องอาหารที่พระเถระกับท่านหญิงโมโนรับประทานอาหารร่วมกันเสมอ ก็พอดีกับที่เมยาเป็นคนเข้ามาแจ้งเรื่องที่โมโนขอทำวัตรเช้าและรับประทานอาหารในห้องตนเองในวันนี้ ก่อนจะนอนพักเพราะรู้สึกไม่ค่อยสบาย

"แต่นางบอกว่าออกไปตักน้ำตอนบ่ายได้เจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วง" หญิงวัยกลางคนรายงาน

พระเถระเอมอนพยักหน้ารับน้อยๆ แต่ยังไม่วายถามด้วยความเป็นห่วง

"แล้วนางเป็นอะไรมากไหม"

"เห็นบอกว่าปวดศีรษะกับเจ็บคอ น่าจะเป็นหวัดน่ะเจ้าค่ะ แต่ข้าลองแตะหน้าผากดูก็ไม่เห็นมีไข้เจ้าค่ะ"

"อืม..." นักบวชชรารับ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจจะถามอีก ทว่าพอรับประทานอาหารเสร็จแล้วท่านก็บอกให้ยาฮีมกลับไปรับประทานอาหารเช้าที่เรือนพักก่อน ส่วนตัวท่านจะไปเยี่ยมโมโนที่ห้อง

นั่นทำให้องครักษ์ประจำอารามรู้สึกกังวลขึ้นมาบ้าง แต่ก็นึกปลงในใจว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

อันที่จริงเขาคงเป็นคนที่สนน้อยกว่าโมโนด้วยซ้ำว่าพระเถระจะทราบเรื่องหรือไม่ ในเมื่อเธอต้องการปกป้องคนเผ่าอัสลานคนนั้น แต่เขาไม่แยแสด้วยซ้ำว่าจะต้องปกป้องใครแม้กระทั่งตนเอง


สำหรับโมโนแล้ว เวลาในวันนั้นเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้ากว่าทุกวัน ทว่าเวลาที่เธอไม่อยากให้มาถึงที่สุดกลับมาถึงรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว

น่าโล่งอกที่เธอสามารถอาศัยการนอนตะแคงทับแก้มข้างที่บวมทำให้พระเถระเอมอนไม่ทันเห็นได้เมื่อท่านมาเยี่ยม และหาเรื่องนอนอยู่ในห้องตลอดช่วงเช้าเพราะไม่มีแก่ใจจะทำอะไร อาหารกลางวันก็กินในห้องเหมือนเดิม แต่ในที่สุดก็มาถึงตอนบ่าย และเวลาแห่งการเผชิญหน้าที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

เขายืนหันหลังอยู่ที่หน้าประตูอารามเหมือนทุกวัน

...มีบางวันในยามเยาว์วัยที่เด็กหญิงจะแอบย่องเข้าไปกระโจนตะครุบไหล่เหนือแผ่นหลังนั้นขณะที่เด็กชายกำลังกวาดลานหน้าอาราม (ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วอยากเอามือปิดตา แต่ไม่เคยกระโดดถึง) แม้จะจบลงด้วยการที่อีกฝ่ายหันหน้ามามองด้วยสายตากึ่งดุกึ่งไม่สบอารมณ์ และปรามว่า "ไม่เหมาะสมนะขอรับ" หรือ "เดี๋ยวใบไม้ก็เกลื่อนอีกหรอกขอรับ"...

...มีช่วงหลายเดือนที่เด็กหญิงย่ำเท้าปั้นปึ่งผ่านแผ่นหลังนั้นไปโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง ด้วยความโกรธและแค้นเคืองแบบเด็กๆ อันมีต่อผู้ที่คุมตัวเธอยามเอ่ยกับกลุ่มคนที่รายล้อมทั้งสองอยู่ว่า "ข้าฆ่าเขาเองขอรับ" ปล่อยให้เด็กหนุ่มผู้สวมหน้ากากและชุดเกราะบ่งบอกหน้าที่อันหนักอึ้งที่ได้มาจากการคร่าชีวิตผู้อื่นตามมาเบื้องหลัง

...มีช่วงไม่กี่ปีที่เด็กสาวเรียกชื่อเจ้าของแผ่นหลังนั้นให้หันกลับมาจากระยะพอควร หรือช่วงที่เขาเหลือบกลับมาน้อยๆ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอ แต่ชายหนุ่มก็ไม่เคยหันมามองตรงๆ จนกระทั่งเธอก้าวล่วงประตูอารามไปนั่นเองจึงได้ค่อยๆ ก้าวตามมา...

...มีชั่วครู่หนึ่งในราตรีที่ผ่านมาที่เธอเห็นแผ่นหลังนั้นเปลือยเปล่า ให้รู้สึกเจ็บแปลบในใจกับสิ่งที่เขาได้ทำและเกือบทำลงไป กระนั้นเมื่อนึกย้อนถึงไหล่ที่ตกลู่กับศีรษะที่ก้มต่ำของชายหนุ่ม เธอก็ยังสัมผัสได้ถึงความละอายและเปราะบางที่ถูกเปิดเผยออกมา เหมือนเด็กชายที่เคยก้มหน้าอย่างเงียบๆ รับคำต่อว่าทุกอย่างจากเหล่าองครักษ์ประจำอารามเมื่อเขาทำอะไรให้ผู้มีสถานะเหนือกว่าไม่พอใจ...

โมโนชะงักเท้ากึกหลังแผ่นหลังนั้นราวยี่สิบก้าว มือกำสายหนังแขวนกระออมตักน้ำแน่นขึ้นครู่หนึ่ง ก่อนจะกลั้นใจก้าวยาวๆ แทบเป็นวิ่งผ่านร่างสูงใหญ่ไปราวกับกำลังลุยข้ามกองถ่านร้อน


ยาฮีมรู้แล้วว่าเธออยู่ข้างหลัง จากเสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาและสะดุดลงกะทันหัน แต่ก็มิได้หันไปมอง

เขาไม่เคยกล้ามองเข้าไปในเขตอารามจากหน้าประตูใหญ่ตรงๆ เพราะยามใดที่เห็นอาคารใหญ่ของอาราม ก็จะรู้สึกถึงความกระด้างเย็นชาของศิลาหนาหนักในคืนเหน็บหนาว มันหยัดยืนแข็งกร้าวดั่งป้อมปราการ ทิ้งให้หญิงที่เขารักที่สุดในชีวิตอ้อนวอนต่อมันอย่างไร้ผล กระทั่งทรุดลงทอดร่างกลางหิมะและถูกกลบฝังในที่สุด

ทว่าในวันนี้...ที่เขาไม่กล้ามองยิ่งกว่ากลับเป็นร่างน้อยในชุดขาวซึ่งเขาได้ล่วงเกินอย่างไม่น่าอภัย ที่คงจะยืนอยู่เบื้องหน้าอาคารนั้น

ชายหนุ่มจึงยืนนิ่งไม่แม้แต่จะเหลียวกลับ รอคอยว่าอีกฝ่ายจะทำเช่นไรก่อน

เสียงฝีเท้าถี่กระชั้นเหมือนคืนก่อนแว่วเข้ามาในโสตประสาท แต่ใกล้เข้ามาแทนที่จะห่างออกไป เงาสีขาวเคลื่อนไหววูบผ่านข้างสายตาและก้าวต่อไปเบื้องหน้า

แต่แม้นร่างนั้นจะผ่านไปรวดเร็วเพียงใด ยาฮีมก็ยังต้องกลั้นหายใจเมื่อกลิ่นหอมบางๆ ของดอกเซ็นนาเหมือนจะโชยแตะจมูก ยั่วเย้าให้สะอิดสะเอียนด้วยความรังเกียจตนเองที่ไม่อาจขจัดความรู้สึกนั้นไป และยิ่งพะอืดพะอมเมื่อเขาพบว่าสีขาวเจิดจ้าของเนื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างบอบบางในความสว่างแห่งยามทิวาดูไม่ต่างอะไรจากผิวเนื้อขาวโพลนในความมืดแห่งยามราตรี ซ้ำไหล่ลาดมนที่ปอยผมสีดำตกกระทบยามไหวน้อยๆ ตามจังหวะก้าวยังชวนให้นึกถึงตอนที่เจ้าของไหล่สั่นเทิ้มหอบชุดสีขาวไว้ในอ้อมแขน ก้าวโผเผหลบไปหลังต้นไม้กำบังตนจากสายตาของเขา

น่าเสียดายโอกาสที่ผ่านไปแล้วมากกว่า  เสียงจากปีศาจร้ายยิ่งตามเยาะเย้ยจนชายหนุ่มกัดริมฝีปากไว้ ไม่ใช่! นี่ไม่ใช่ความรู้สึกของเขา เป็นเพียงมนต์มายาของปีศาจร้ายที่หมายล่อลวงให้เขาตกลงสู่เบื้องต่ำเท่านั้น

เขารอให้ร่างเบื้องหน้าก้าวนำไปห่างทีเดียวก่อนจะก้าวตามไป ใบหน้าใต้หน้ากากเพียงก้มลงมองพื้นดินแฉะที่ประทับรอยเท้าน้อยๆ เป็นทางให้ตามไปเบื้องหน้าเพื่อกันไม่ให้ตนคิดฟุ้งซ่านมากไปกว่านี้

...ในวันนั้นเขาก็ก้มหน้าเดินตามแม่ไปแบบนี้เอง หลังจากพยายามเงยหน้ามองเจ้าของมือที่กุมมือตนไว้แล้วต้องเจอกับหิมะที่ตกพรมจนแสบตา...

...มือของแม่จับมือเขาไว้ แต่มือนั้นไม่ได้อบอุ่นเหมือนทุกครั้ง กลับเย็นเยียบไม่ต่างอะไรจากหิมะ ร่างของแม่ก็คงจะเย็นพอกันใต้เสื้อคลุมกันหนาวที่สวมทับชุดกระโปรงเปื้อนเลือดที่ท่านสวมตอนคลอดโมโน อารามรีบร้อนทำให้ท่านลืมกระทั่งจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อบอุ่นกว่านี้ หรือมิเช่นนั้นก็ไม่ทันคาดคิดว่าหิมะจะตกแรงขึ้นอีก...

...แต่เด็กชายยังอบอุ่นอยู่ข้างตัวแม่ ทั้งหมวก ผ้าพันคอและเสื้อกันหนาวขนแกะบุนวมที่แม่เย็บให้อยู่บนร่างของเขา ยามเขายืนกรานจะตามมาด้วย แม่รีบค้นเสื้อผ้าป้องกันความหนาวให้เขาจนเกินพอ แต่ตัวท่านเองกลับสวมเพียงเสื้อคลุมตัวเดียว กระทั่งหมวกยังไม่มี ปล่อยให้เกล็ดหิมะจับเรือนผมสีดำสยายที่ปลิวตามแรงลม...

...บนพื้นสีขาวมีรอยเท้าเล็กๆ เท้าของแม่ที่ก้าวต่อไปไม่หยุด และหยดสีแดงเรี่ยราย...

...หยดสีแดงโรยรินประทับบนพื้นขาว หนึ่งหยด สองหยด ทับซ้อนกับรอยเท้าที่ก้าวต่อไปและยิ่งหยดลงถี่ขึ้น มากขึ้น จนกระทั่งไหลย้อยลงเปื้อนข้างรองเท้า...

...ยาฮีมจำได้ว่าตนเองร้องเรียกแม่ แทบร้องไห้โฮแล้วตอนที่ตนเองบอกว่า "จะกลับบ้าน" โดยไม่กล้าเอ่ยถึงหยดสีแดงเลยแม้แต่น้อย...

...แม่หยุดเดิน แต่เพื่อหันกลับมามองเขาและส่ายหน้า ริมฝีปากซีดจนแทบเขียวฝืนยิ้มและขยับพูดแผ่วเบาในเสียงลมหนาว...

..."ทนอีกนิดนะลูก เดี๋ยวก็ถึงแล้ว ยาฮีมเป็นพี่ที่ดี ต้องช่วยแม่ดูแลน้องใช่ไหมจ๊ะ"...

...นางเลือกคนอื่นแทนที่จะเป็นข้า...

เด็กชายในวันนั้นกับชายหนุ่มในวันนี้ยังคงนึกเช่นเดียวกัน แม้น 'นาง' กับ 'คนอื่น' จะหมายถึงคนละคน ส่วนตนเองก็ยังคงฝืนก้าวตามหลัง 'นาง' ต่อไปเช่นกัน

ฉับพลัน 'นาง' เบื้องหน้าเขาหยุดกึกกะทันหัน จนยาฮีมก้าวเข้าไปใกล้อีกสองก้าวจึงได้รู้สึกตัวและหยุดทันก่อนจะเดินชนร่างนั้น

"ไหนบอกว่ามีเรื่องจะพูดไม่ใช่หรือ" น้ำเสียงที่ปกติหวานใสเอ่ยถามห้วนๆ

องครักษ์ประจำอารามกลับพบว่าลำคอของตนแห้งผาก สมองเล่าก็แทบว่างเปล่าปราศจากคำพูด กระนั้นก็ยังรู้สึกว่ามีสิ่งหนึ่งที่ตนจำเป็นต้องพูดเป็นลำดับแรก

"ข้า...ขออภัยขอรับ" ชายหนุ่มกลั้นใจพูด "...ทั้งทุกอย่างที่ข้าพูดและทำลงไปเมื่อคืน..."

เด็กสาวเบื้องหน้ายืนนิ่ง กระทั่งปลายผมและชายกระโปรงยังไม่ไหวติงเพราะไร้สายลม ทั้งแดดร้อนระอุกับความกระวนกระวายในใจทำให้เหงื่อของเขาไหลย้อยเหนอะหนะหน้าผากใต้หน้ากาก

มีเสียงสูดลมหายใจลึกๆ ครั้งหนึ่ง ตามมาด้วย "...ลืมมันไปเสียเถอะ"

"หมายความว่า...ท่านไม่ยกโทษให้ข้า" ยาฮีมย้อนถามคำถามที่เขากลัวจะได้รับคำตอบที่สุด และโมโนก็ยังนิ่งเงียบอยู่อีกครู่หนึ่งก่อนจะย้อนถาม

"ถ้าท่านเป็นพี่ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง แล้วมีคนมาทำแบบนี้กับน้องสาวของตัวเอง ต่อให้ไม่สำเร็จ...ท่านจะยกโทษให้คนคนนั้นได้ไหม"

ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกมีดปักลงกลางหัวใจ มีดนั้นบิดคว้านลึกให้เจ็บแปลบยิ่งกว่ากับคำย้ำต่อมา

"ได้ไหมล่ะ"

ยาฮีมเผลอตัวสั่นศีรษะแม้นอีกฝ่ายจะมองไม่เห็น แค่คำว่า ไม่ขอรับ  เพียงสามพยางค์เป็นดั่งก้อนหินหนักอึ้งที่ไม่อาจสำรอกจากปาก

"เห็นไหม ขนาดท่านยังตอบไม่ได้เลย" โมโนเอ่ยเรียบๆ "แล้วความรู้สึกของข้าที่เป็นคนเจอกับตัว...ซ้ำคนทำยังเป็นพี่ชายของตัวเอง...จะเป็นยังไง"

องครักษ์ประจำอารามยังยืนนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามเหมือนต้องการคำย้ำ ต่อให้ต้องเจ็บปวดเพียงใดก็ตามเมื่อได้ยิน

"หมายความว่า...ท่านไม่ให้อภัยข้า"

เด็กสาวกำมือแน่น คำว่า ยังให้ต้องพูดอีกหรือ...ติดคาอยู่ในลำคอ เธอต้องกล้ำกลืนมันลงไปก่อนจะกลั้นใจเอ่ย

"ในเมื่อพูดไปก็ไม่มีอะไรดี...ก็อย่าให้ต้องพูดออกมาเลย" โมโนหลับดวงตาที่เริ่มร้อนผ่าวลง "แค่ลืมมันไปเสียเถอะ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเท่านั้นพอ"

ไม่มีคำตอบจากเขา เธอเลยก้าวต่อไป สองตามองเพียงทางในป่าด้านหน้าจนถึงทางแยก...

หากตรงไปตามทางสายหลักก็จะถึงบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ และหากเลี้ยวไปที่แยกเล็กๆ ด้านซ้ายก็จะไปถึงกระท่อมของท่านปู่โยเรที่พี่คนจรกำลังรออยู่

โมโนอดสงสัยไม่ได้ว่าป่านนี้เขาจะทำอะไรอยู่หนอ ตื่นแล้วหรือยังพักผ่อนนอนหลับรอเวลาคืนนี้ ชั่วแวบหนึ่งในใจอยากวิ่งพรวดเดียวไปถึงกระท่อมของท่านปู่ โผเข้าหาอ้อมกอดของสามี แต่รู้ว่าคงไม่มีวันไปถึงก่อนจะถูกยาฮีมรวบตัวไว้

...อีกชั่วแวบหนึ่งอยากให้เรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดตั้งแต่เธอก้าวเท้าออกจากกระท่อมเป็นเพียงความฝัน หากว่าฝนไม่หยุดตก และเธอได้ตื่นขึ้นมาข้างๆ เขาในยามรุ่งเช้าก่อนจะหนีไปด้วยกันตามที่ตั้งใจไว้จะดีเพียงไร

"เรื่องคนจร..." น้ำเสียงเรียบเฉยดังเดิมเบื้องหลังกลับดังขึ้นแทน เด็กสาวกัดริมฝีปากระงับน้ำตาไว้ก่อนจะกลั้นใจพูด

"จะให้ข้าทำอะไรก็ว่ามาสิ"

คำถามเหมือนโยนกลองทำให้มีแต่ความเงียบอยู่อีกครู่ และแล้วชายหนุ่มจึงเอ่ยต่อ

"ท่านต้องทำให้เขายอมไปจากท่านให้ได้"

แล้วทำไมต้องเป็นข้าด้วยล่ะ...ข้าไม่ได้อยากไปจากเขาสักหน่อย ถ้าท่านอยากให้เขาไป...ทำไมต้องโยนเรื่องแบบนี้มาให้ข้าทำด้วย  เธอตัดพ้ออยู่ในใจ แต่ก็ตระหนักดีว่าเพราะอะไร เป็นไปไม่ได้เลยที่พี่คนจรจะรับฟังยาฮีม และหากให้ยาฮีมเป็นคนพูด ก็คงมีแต่จะจบลงด้วยชีวิตของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นไปได้มากว่าจะเป็นเด็กหนุ่ม

"แล้วจะให้ข้าทำอะไร...บอกความจริงกับเขาไปหรือ"

ว่าข้าไม่ใช่คน...เป็นแค่เปลือกที่ห่อหุ้มปีศาจร้ายไว้...แค่จอกกาฬโลหิตที่ต้องถูกทำลายเสียเท่านั้นเอง

"แต่ท่านก็รู้ว่านี่เป็นความลับ...จะเผยแพร่ให้คนนอกศาสนาไม่ได้เด็ดขาด" องครักษ์ประจำอารามแย้งจากด้านหลัง

นั่นเป็นความจริง กระทั่งผู้มีศรัทธาในองค์สุริยเทพนอกจากจะเกี่ยวข้องกับอารามหรืออาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้รู้ พระเถระเอมอนเคยบอกเธอว่าหากผู้อื่นที่ไม่มีความเข้าใจในศาสนาของพวกเธออย่างถ่องแท้ทราบเข้า ก็จะประณามอารามแห่งองค์สุริยเทพอย่างผิดๆ ว่าโหดร้ายป่าเถื่อน หากอาณาจักรอื่นๆ ทราบเข้า ก็จะถือเป็นข้ออ้างบ่อนทำลายซาเกรดา โซล โดยไม่ทราบความจำเป็นและความเมตตาเบื้องหลังธรรมเนียมนี้

"แต่ถ้าไม่บอก...ก็ไม่มีทางอื่นหรอกที่จะบอกให้เขาไปได้" โมโนยืนกราน

"ถึงอย่างนั้น ข้าก็ไม่คิดว่าเขาจะยอมฟังหรอกขอรับ" ยาฮีมยังค้านเสียงแข็ง

"ถ้าอย่างนั้น...ข้ากรีดเลือดตัวเองให้เขาดูก็ได้" เด็กสาวยกแขนขาวขึ้นมองรอยช้ำเขียวบนข้อมือ หากกรีดลงตรงรอยนั้นได้เสียก็ดี ให้เลือดแปดเปื้อนในตัวที่เธอแสนชังไหลออกไปจนหมด ค่อยๆ รู้สึกว่าตัวเย็นลง...สติลางเลือน...และตายไปแบบนั้นคงจะดีกว่าต้องถูกฆ่าด้วยมือของคนที่เธอชังที่สุดในตอนนี้ "เลือดสีดำไม่เหมือนคนอื่น ถ้าเห็นแล้วเขาคงเข้าใจ"

"ข้าไม่คิดว่าจะควรเสี่ยงขอรับ ถึงจะเห็นเลือดสีดำ ก็ใช่ว่าเขาจะตระหนักถึงภัยของ...ด้านมืดของท่านได้"

"แล้วจะให้ข้าทำยังไงล่ะ" เธอเริ่มข่มความขุ่นมัวในน้ำเสียงไม่ไหว "เรียกนางออกมาทำเรื่องโสมมกับท่านต่อ แล้วให้ข้าไปบอกเขาว่าข้าไปกับเขาไม่ได้...เพราะข้าตกเป็นของท่านอีกคนไปแล้วดีไหม"

ประโยคสุดท้ายของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกร้อนวูบทั้งใบหน้าเหมือนถูกชกจังๆ ไม่เคยนึกฝันว่าเด็กสาวที่เขาเห็นมาแต่เล็กแต่น้อยจะกล่าววาจาประชดประชันอย่างร้ายกาจเช่นนี้ได้

โมโนผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสาที่เขารู้จักไม่มีวันกล้าพูดถึง 'เรื่องโสมม' แบบนี้ ใครกันหนอที่ทำลายนาง...เด็กหนุ่มนั่นหรือเขากันแน่

กลัวหรือ... เสียงอุบาทว์ถามเย้ยหยันจากก้นบึงในใจเขาอีกแล้ว นางท้าทายเจ้าถึงขนาดนี้...แล้วเจ้ายังจะกลัวหัวหดอีกหรือ

เรื่องเมื่อคืนนั้นข้าไม่ได้ตั้งใจ...ท่านจะให้อภัยข้าไม่ได้เลยหรือ ข้าไม่ได้พูด ผีร้ายต่างหากมันพูดผ่านข้า  ยาฮีมพร่ำนึกในใจเพื่อกลบน้ำเสียงนั้น ก่อนจะเปล่งเสียงให้หนักแน่นที่สุด

"ข้าขอสาบานต่อองค์สุริยเทพว่าข้าจะไม่ล่วงเกินท่าน ไม่ว่าด้านมืดของท่านจะยั่วยุข้าแค่ไหนก็ตาม"

"ขอให้จริงเถอะ" อีกฝ่ายกลับแค่นเสียง "เอาเถอะ...ถึงอย่างนั้น ขอแค่โกหกไปก็พอ ถึงยังไงข้าก็ได้แต่โกหกเขามาตลอดอยู่แล้ว"

"ท่านก็รู้ว่าเขามีแต่จะกระโจนเข้ามาฆ่าข้า แล้วข้าก็ต้องฆ่าเขา" ยาฮีมสะกดอารมณ์พูดเรียบๆ "ถ้าได้รู้"

"ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ให้ท่านมาลำบากด้วยหรอก" เสียงของโมโนยิ่งเย็น...และยิ่งสั่นพร่า "ท่านไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องพูดอะไรเลยก็ได้ ให้ข้าไปบอกเขาเองว่าข้าเป็นผู้หญิงร่าน หลับนอนกับพี่ชายตัวเองมาก่อนจะพบกับเขาเสียอีก บอกเขาว่าข้าก็แค่หลอกหว่านเสน่ห์ใส่เขาเล่นๆ เท่านั้น บอกเขาว่าข้าจะไม่ไปกับเขา...เพราะอันที่จริงแล้วข้าไม่ได้รักเขาเลย แล้วเขาก็ทำให้ข้าพึงใจมากไปกว่าท่านไม่ได้..."

เขาเห็นเด็กสาวยกแขนขึ้นปาดน้ำตาแรงๆ และได้ยินเสียงสะอื้นครั้งหนึ่ง

"ดีไหม ถ้าได้ยินอย่างนี้เขาคงจะขยะแขยงข้าจนไม่แม้แต่จะชายตามองอีก แล้วก็รีบไปก่อนที่ท่านจะต้องออกปากไล่ด้วยซ้ำ"

"...ข้าไม่คิดว่าจะได้ผล"

"ไม่คิดว่าจะได้ผล...หรือไม่อยากมาจมปลักเลนกับข้ากันแน่" โมโนย้อนเสียงขื่นๆ ทั้งๆ ที่น้ำตายังไม่ยอมหยุดไหล "ท่านเป็นคนบอกให้ข้าไล่เขาไป แต่แค่รับสมอ้างเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดเท่านี้ก็จะปฏิเสธ"

"หามิได้" องครักษ์ประจำอารามกลับตอบเรียบๆ "หากมีโอกาสได้ผล...ต่อให้ท่านสั่งให้ข้าเล่นบทปีศาจ ข้าก็จะทำ"

ต้องเล่นด้วยหรือ ในเมื่อท่านก็ไม่ต่างอะไรกับปีศาจอยู่แล้วนี่  เด็กสาวได้แต่นึกอยู่ในใจ ด้วยรู้ว่าการทุ่มเถียงในขณะนี้ไม่มีผลดีใดๆ เลย

"ข้าไม่คิดว่าท่านจะทำใจพูดปดเรื่องแบบนี้ได้ตลอดรอดฝั่ง"

"แล้วต้องเป็นเรื่องแบบไหนล่ะ"

คงตอนที่นึกโกรธแวบขึ้นมากระมังว่าเหตุใดเธอจึงยังพาดพิงถึงเรื่องคืนนั้น เหตุใดจึงต้องยัดเยียดบทปีศาจร้ายให้กับเขา ที่เขานึกอยากให้ตัวต้นเหตุต้องมารู้สึกเช่นเดียวกันบ้าง

ใช่แล้ว ให้เจ้าคนที่ก่อเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้นมาได้รู้สึกเสียบ้างว่าเขารู้สึกอย่างไรอยู่ในใจ ให้มันทุกข์ร้อนยิ่งกว่าที่เขารู้สึก ไม่ให้มันได้นึกเปรมปรีด์อีกเลยที่ได้ตัวโมโนไปครอง

"เรื่องที่ท่านไม่จำเป็นต้องพูดปดเลยสักคำก็ยังได้" ยาฮีมพูดเสียงเย็น

"ยังไง" น้ำเสียงของโมโนบอกความสงสัย

"พ่อของคนจรกับพ่อของท่านมาที่นี่พร้อมกัน"

"แล้วทำไมล่ะ" เด็กสาวเผลอตัวเหลียวหน้ากลับมามองเขาเป็นครั้งแรก ชายหนุ่มเลยต้องเลื่อนสายตาหลบก่อนพูดต่อ

"ถ้าทำให้เขาเข้าใจว่าทั้งสองคนเป็นคนเดียวกัน เขาก็คงยอมไปจากที่นี่"

เขาไม่กล้ามองว่าสีหน้าของอีกฝ่ายเป็นเช่นไร ทว่าจากน้ำเสียงตอบก็บอกได้ว่าคงไม่น่ามองเอาเสียเลย

"ท่านคิดจะโยนบาปของตัวเองให้กับเขางั้นหรือ"

"หามิได้ขอรับ" ยาฮีมกลั้นใจตอบ "แต่นี่เป็นข้ออ้างเดียวเท่านั้นที่เขาแย้งไม่ได้"

โมโนนิ่งเงียบไปเป็นนาน ก่อนจะสะบัดหน้ากลับไปแล้วเริ่มก้าวต่อยาวๆ

"ข้าไม่ยอมพูดเรื่องแบบนั้นหรอก"

"แม้จะแลกด้วยชีวิตของคนจรน่ะหรือขอรับ" ชายหนุ่มพูดเสียงกร้าวด้วยอารมณ์ที่กรุ่นขึ้น ร่างน้อยเบื้องหน้าชะงักเท้ากึก

"ท่านขู่ข้าหรือ"

"หากท่านคิดเช่นนั้น ข้าก็ช่วยไม่ได้"

โมโนยืนนิ่งราวกับกลายเป็นรูปปั้น นิ่งอยู่ครู่หนึ่งถึงได้เอ่ย

"ท่านเคยสัญญาว่าจะไม่ฆ่าใครนอกจากข้า แล้วทีนี้ท่านจะผิดสัญญาที่ให้ไว้หรือ"

ยาฮีมนึกเรียบเรียงคำตอบนานพอกัน

"...หากจำเป็น ข้าก็ต้องเลือกหน้าที่มาก่อนสัญญา"

"หมายความว่า...ถ้าจำเป็น กระทั่งคำสาบานที่ท่านให้ไปเมื่อครู่ ท่านก็พร้อมจะทิ้งไปอีกเหมือนกัน"

คำย้อนถามของเด็กสาวทำให้ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงคืนนั้นอีกครั้ง ถึงถ้อยคำหยาบทรามที่ยังไม่อยากเชื่อเลยด้วยซ้ำว่าตนพูดออกมา

"ข้ามีหน้าที่ต้องปกป้องท่าน ข้าจะไม่ทำร้ายท่านด้วยวิธีใดๆ ทั้งสิ้น" กระนั้นเขาก็พยายามพูดอย่างใจเย็น "แต่ถ้าคนจรยังดึงดันไม่ยอมไป ข้าก็จำเป็นจะต้องฆ่าเขา มีแต่ท่านคนเดียวเท่านั้นที่จะรักษาชีวิตเขาได้"

"รักษาชีวิตเขา...แต่ทำลายหัวใจเขาให้ย่อยยับด้วยเรื่องแบบนี้นี่นะ"

"ใจคนแหลกไปยังใช้เวลารักษาได้ แต่ชีวิตที่เสียไปกลับคืนมาไม่ได้ขอรับ"

โมโนกำมือแน่นเมื่อคำพูดของเขาทำให้เธอนึกถึงอีกชีวิตหนึ่งที่เสียไปแล้วและไม่มีวันกลับมา ชีวิตที่จบลงไปด้วยมือของชายเบื้องหลังเธอนี่เอง

แล้วเธอจะปล่อยให้ชายที่เธอรักที่สุดต้องจบชีวิตลงแบบนั้นได้หรือ

"ท่านจะด่าว่าข้าว่าใจดำหรือเลวทรามยังไงก็ได้ แต่เราต้องทำให้คนจรไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุดนะขอรับ" ยาฮีมหว่านล้อมต่อไป "ท่านก็รู้ว่าคนอื่นๆ ที่อารามต้องไม่ปล่อยเขาไปแน่ถ้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น"

"ข้ารู้ ไม่ต้องย้ำหรอก" เด็กสาวยกมือขึ้นปาดน้ำตาซ้ำสอง "ก็ข้าเป็นลูกไก่ในกำมือท่านแล้วนี่"

องครักษ์ประจำอารามนิ่งเงียบไป ปล่อยให้อีกฝ่ายพูดต่อ

"แล้วท่านจะให้ข้าไปพูดเมื่อไร"

"หลังจากตักน้ำเสร็จได้ไหมขอรับ" ยาฮีมเสนอ แต่แล้วก็รู้สึกตัวว่าคิดผิดเมื่อถูกย้อน

"ข้ามีสิทธิ์เลือกด้วยหรือ ท่านบอกให้พูดเมื่อไร ข้าก็ต้องพูดเมื่อนั้นนั่นแหละ"

"...ขอรับ" ชายหนุ่มเพียงพูดง่ายๆ เมื่อฟังน้ำเสียงของอีกฝ่ายออกว่าไม่ควรจะพูดอะไรอีก ได้แต่มองแผ่นหลังของเด็กสาวที่เดินต่อไปบนทางสายตรง

ครู่ต่อมาที่เพิ่งเงยหน้ามองฟ้านี่เองที่เขาสังเกตเห็นว่าแสงแดดหมองลงอย่างรวดเร็วไม่น่าเชื่อ หมู่เมฆสีเทาทะมึนเริ่มคืบคลานเข้ามาเหนือยอดไม้ เป็นสัญญาณว่าพายุกำลังตั้งเค้า และจะกลั่นตัวเป็นเม็ดฝนในไม่ช้า

โมโนร่ำไห้ด้วยพิษบาดแผลที่เขาฝากไว้ไปแล้ว เป็นไปได้ไหมว่าฝนชุดนี้จะหลั่งรินลงมาแทนน้ำตาที่เขาไม่อาจหลั่งให้กับแผลที่เจ็บแปลบในยามนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้สร้างรอยแผลนี้

หรือถึงอย่างไร...ฟ้าก็เห็นใจบาดแผลที่กำลังจะเกิดขึ้นกับคู่รักที่มีเวลาแสนสั้นคู่หนึ่งมากกว่า และร่ำไห้ไปกับบาดแผลที่กำลังจะเกิดกับทั้งสองแทนที่จะเป็นเขากันหนอ


Note: ผมเริ่มเขียนตอนนี้หลังจากตอน Ravished เลย ก่อนจะค้างไว้ในช่วงก่อนที่โมโนกับยาฮีมจะกลับมาเจอกันนานทีเดียว กว่าจะได้กลับมาเขียนต่ออีกครั้ง ทีนี้ก็ต้องมารอดูว่าจะมีตอนต่อไปอีกหรือเปล่าตามเวลาว่างและไอเดียของผมล่ะครับ

ผมไม่เคยคิดว่ายาฮีมจะเป็นคนสองบุคลิกนะครับ แต่ที่นึกฉากยาฮีมเถียงกับภาพวิญญาณของพ่อ ผมมองว่าเป็นภาพหลอนในใจที่ยาฮีมสร้างขึ้นมามากกว่า เรื่องของหมอนี่มีอะไรให้บอกเล่ามากมายตั้งแต่ตอนเป็นเด็กมีปัญหา เทียบกับคนจรที่ผมนึกภาพในวัยเด็กว่าวิ่งเล่นเริงร่าตามประสาเด็กถึงพ่อแท้ๆ จะไม่ได้อยู่ดูแลแล้วนับว่าเป็นคนละเรื่องเลย ผมเลยอยากเขียนถึงปัญหาตอนที่ยาฮีมเป็นเด็กอยู่ และก็คิดว่าจะลองนำอดีตของเขามานึกย้อนสลับในไซด์สตอรี่ของโมโนกับยาฮีมแบบไม่ปะติดปะต่อตามเวลา (พูดง่ายๆ คือเจอเหตุการณ์ไหนที่มันกระทบให้นึกถึงตอนนั้นก็ให้พี่แกนึกถึงขึ้นมานั่นแล) น่าจะน่าสนใจดี

แล้วพบกันใหม่ถ้าไซด์เรียกร้องครับ :)

ปล. ขอขอบคุณคุณ Blue Mouse สำหรับข้อเสนอแนะเรื่องการแก้ไขครับ