Mono and Wander's Side Story
Tenderness
"แต่ข้าก็ไม่อยากเสียเวลานี้ไปเลยค่ะ"
โมโนแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าตนพูดอะไรออกไป ไม่อยากเชื่อกระทั่งว่าเธอกล้าพอที่จะจับมือของเขาให้โอบไหล่เธอนิ่งไว้เช่นนั้น ใบหน้าของเธอยิ่งร้อนผ่าวกับความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในคำพูดหรือการกระทำของตน
ใจหนึ่งอยากให้เขารู้ แต่อีกใจหนึ่งก็ยังลังเลว่าควรแล้วหรือ พระเถระเอมอนบอกว่าผู้ถูกเลือกจะกระทำบาปใดๆ ไม่ได้ การรักษาพรหมจรรย์ยิ่งเป็นหนึ่งในหลักปฏิบัติสำคัญเพื่อไม่ให้จิตใจถูกดึงสู่ฝ่ายต่ำ
ทว่าสิ่งที่เธอรู้สึกอยู่นี้เป็นบาปหรือ ความอบอุ่นที่แนบชิดกายและแผ่ซ่านอยู่ในหัวใจนี้มิได้หยาบกระด้างเหมือนบาปเลยสักนิด ไม่ผิดใช่ไหมที่เธอปรารถนาจะให้เขาโอบกอดเธอไว้แนบอกเช่นนี้...หรือกระทั่งใกล้ชิดแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกัน
เด็กสาวกลืนน้ำลายฝืดๆ ขณะบีบมือของเขาแน่นขึ้น ลมหายใจอุ่นๆ ของอีกฝ่ายเคลื่อนใกล้เข้ามาที่ข้างแก้ม ตามมาด้วยสัมผัสของปลายจมูกบนเรือนผมข้างหูและเสียงกระซิบ
"...ข้าก็เหมือนกัน"
หลังคำพูดนั้น ก็ดูราวกับว่าเชือกพันธนาการบางอย่างที่ตรึงเธอให้นิ่งไว้ขาดผึงลงในทันทีทันใด และริมฝีปากของทั้งสองก็เคลื่อนเข้าหากันในชั่วครู่นั้น
ความละอายทั้งมวลสลายหายไปในจุมพิตครั้งที่สามในชีวิต ดั่งจะทดแทนเวลากว่าเดือนที่เว้นว่างจากจุมพิตครั้งแรกและครั้งที่สอง คลอเคลียพร่ำพรรณนาความรู้สึกโหยหาต่างฝ่ายอย่างไร้เสียงอยู่เนิ่นนาน ก่อนที่คนจรจะเป็นฝ่ายถอนริมฝีปาก และเลื่อนใบหน้าลงไปที่ซอกคอของเด็กสาว ดึงคอเสื้อให้ต่ำลงก่อนจะใช้ปลายจมูกและริมฝีปากไล้บนผิวของเธอ
โมโนหลับตาลง ปล่อยตนเองให้ดื่มด่ำความรู้สึกแสนประหลาดที่ทำให้ใจเต้นระรัว แต่ครู่หนึ่งต่อมา สัมผัสนั้นก็พลันหายไปและถูกแทนที่ด้วยคำพูด
"โมโน" เขาเงยหน้าขึ้นเรียกเบาๆ เด็กสาวตอบรับโดยไม่หันกลับไปมอง
"...คะ"
"เจ้าแน่ใจแล้วหรือ"
คำถามนั้นเรียกความลังเลขึ้นมาจุกที่ลำคออีกครั้ง แต่ก็เพียงแวบเดียวก่อนที่โมโนจะซุกหน้าลงกับอกของเขา
"ค่ะ..." เสียงตอบแผ่วเบาทว่าหนักแน่น
"แต่ดูเจ้าเกร็งๆ นะ...เหมือนไม่สบายใจหรือกลัวอะไรอยู่"
เด็กสาวสั่นศีรษะน้อยๆ ทั้งที่ยังไม่เงยหน้า
"ที่ข้ากลัว...คือกลัวว่าถ้าถึงตอนเช้า...ข้าอาจจะเปลี่ยนใจ ไม่คิดไปกับท่านอีกแล้วต่างหาก" อ้อมแขนบอบบางโอบรัดร่างของอีกฝ่ายแน่นขึ้นครู่หนึ่ง
เพราะอย่างนั้น...ถ้าไม่ทำให้ตัวเองไม่มีทางกลับไปได้แล้วล่ะก็...
"แต่ถ้าเจ้ายังไม่แน่ใจว่าจะไปกับข้า ข้าก็ไม่อยาก...เอ่อ...ผูกมัดเจ้าหรอกนะ" เด็กหนุ่มพูดอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยถามอย่างลังเล "...หรือว่าข้าดูเหมือนจะบังคับให้เจ้าไปด้วยมากเกินไป"
"เปล่าค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย" โมโนสั่นศีรษะซ้ำอีกครั้ง "ถึงข้าจะกลัว แต่ข้าก็แน่ใจว่าข้ารักท่าน ข้าอยากไปกับท่านนะคะ แล้วก็..."
เด็กสาวทิ้งคำพูดไว้แค่นั้น ไม่รู้ว่าควรพูดต่อไปดีหรือไม่
"แล้วก็อะไรหรือ"
เสียงถามย้ำจากอีกฝ่ายทำให้โมโนขยับตัวอย่างอึดอัด จนเขาคลายมือจากอ้อมกอด แต่เธอก็ยังซุกหน้าอยู่กับอกของเขาเช่นนั้น
"แล้วก็...มันน่าอายนี่นา ถ้าจะให้ข้าพูดตรงๆ...ว่าข้าก็...อยาก...เป็นของท่าน...มากแค่ไหน"
เด็กหนุ่มกลับโอบร่างของเธอไว้อีกครั้ง
"ไม่ต้องอายหรอก ข้าดีใจมากนะที่รู้"
คนจรเชยคางของของเธอให้เงยหน้าขึ้นสบตาด้วย ก่อนจะจุมพิตเบาๆ ที่ริมฝีปาก แล้วค่อยเคลื่อนใบหน้าลงไปที่ซอกคออีกครั้ง โมโนโอบไหล่เขาไว้ ตัวเกร็งขึ้นในครู่ที่มือของเด็กหนุ่มสอดเข้าไปใต้ชายเสื้อและแตะลงบนผิวของเธอ
ทว่าเธอก็ไม่ได้พูดห้าม มือนั้นเลยค่อยๆ คืบขึ้นไปลูบแผ่นหลังเปลือยเปล่าใต้เสื้อ เหตุเพราะเสื้อผ้าทุกชิ้นของเธอเปียกฝนจนโชก มีอันต้องเอาไปพาดตากที่เก้าอี้ทั้งหมด
อีกฝ่ายคงจะสงสัยเช่นกัน เพราะเธอแอบเหลือบเห็นเขาปรายตาไปทางเก้าอี้แวบหนึ่ง เด็กสาวเลยพลอยหน้าแดงขึ้นมาเมื่อคิดว่าเขาจะเห็นผ้าเล็กๆ สองชิ้นที่เธอวางแอบไว้ข้างๆ ชุดกระโปรงหรือเปล่าหนอ
แต่คนจรก็ไม่ได้พูดอะไร เลื่อนมือออกไปจับชายเสื้อที่เด็กสาวสวมอยู่ ค่อยๆ ดึงขึ้นทางด้านศีรษะก่อนจะปล่อยให้เสื้อนั้นตกลงบนพื้นไม้ข้างเตียง
พอเสื้อพ้นตัว โมโนก็ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย สองมือยกขึ้นแตะต้นแขนป้องปิดทรวงอกไว้ ทว่าเด็กหนุ่มก็เอื้อมมือไปจับมือทั้งสองข้างนั้น ประสานกับมือของตนเพื่อให้คลายแขนออก
จากเนินไหล่ ริมฝีปากของเขาค่อยๆ คืบลงมาตามเนินอก เรียกความรู้สึกที่ทำให้เด็กสาวใจเต้นอีกครั้ง แต่เมื่อรอยจุมพิตเริ่มไล่ต่ำลงเรื่อยๆ เธอก็อดเรียกอย่างลังเลไม่ได้
"...พี่คนจรคะ..."
"หือ..." เขาเลื่อนใบหน้าออกห่าง
ทำเสียงสงสัย
"ม...ไม่มีอะไรค่ะ แค่..." เด็กสาวยิ่งตะกุกตะกัก "ข้า...ไม่รู้น่ะค่ะ"
"ไม่รู้อะไรล่ะ"
"...ก็..." โมโนก้มหน้างุด "...ไม่รู้...ว่าต้องทำอะไรบ้าง..."
"แล้วกัน ทำไมถึงไม่รู้ล่ะ" เสียงถามจริงจังของคนจรยิ่งทำให้เธอหน้าร้อนผ่าว รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กไม่ประสายิ่งขึ้นไปอีก
"...ก--ก็...ไม่มีใคร...เคย...บอกข้านี่นา...ก็มัน...เป็นเรื่องที่ข้าไม่ควรรู้..." โมโนพยายามนึกถึงคำพูดที่เมยาเคยบอกเมื่อเธอเริ่มโตเป็นสาว แต่ก็แน่นอนว่าไม่มีเรื่องของความสัมพันธ์ชายหญิงเลยแม้แต่นิด พระเถระเอมอนยิ่งไม่ต้องพูดถึง
"แล้วอย่างนี้จะทำยังไงดี" เด็กหนุ่มพูดเสียงเครียดจนเธอยิ่งไม่กล้าเงยหน้ามอง
"ต...แต่ข้าเคยอ่านในหนังสือนะคะ..." โมโนรีบพูดด้วยความหวังจะกู้หน้าตนเอง "พวกตำนานต่างๆ...ก็พอมีเรื่องแบบนี้อยู่..."
"แล้วในนั้นบอกว่าต้องทำอะไรบ้างหรือ" อีกฝ่ายซัก
ยิ่งนึก เด็กสาวก็ยิ่งได้ข้อสรุปว่าตนเองไม่รู้อะไรเลยเข้าไปใหญ่
"ก็...กอด...จูบ...แล้วก็...เอ่อ..." ตัดเรื่องจูบหน้าอกไปแล้วกันนะ เธอรู้สึกอายเกินกว่าจะพูด ตะกี้เขาก็ทำไปแล้วนี่นา
"แล้วก็อะไร"
"แล้วก็...ก็..." โมโนพูดตะกุกตะกัก "แล้วก็...ข้างนอกก็ฝนตก...เกิดพายุใหญ่...ฟ้าร้องฟ้าผ่า...แต่พอถึงเช้าแดดก็ออก...แล้วดอกไม้ก็บาน...แล้วผึ้งก็มาตอมดอกไม้..."
"อืม...อืม" ในความคิดของเธอ คนจรทำเสียงรับราวกับหมอกำลังฟังอาการคนไข้ "แล้วเจ้ารู้ไหมว่ามันหมายความว่ายังไง"
เด็กสาวยิ่งคอตกอย่างจำนน
"...ไม่รู้ค่ะ"
เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาน้อยๆ คลายมือจากมือของเธอไปโอบแผ่นหลังแทน
"น่ารัก"
คำชมแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยกับสัมผัสที่แนบตัวทำเอาเธอหน้าร้อนวูบ
"ไม่รู้ก็ไม่เป็นไรหรอก มาเรียนเอาตอนนี้ก็ได้"
"ม...หมายความว่า..." โมโนถามอย่างลังเล "ท่าน...รู้หรือคะ"
อีกฝ่ายกลับอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเป็นฝ่ายตอบตะกุกตะกักบ้าง
"ก...ก็พอได้ยินมาบ้าง แต่ข้าก็...ไม่เคยหรอก"
เด็กสาวลอบยิ้มน้อยๆ น่าแปลกที่ตัวเธอรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้รู้เช่นนี้ แต่ด้วยความเขินเลยแกล้งพูดแก้เก้อ
"แล้วมาพูดเหมือนตัวเองรู้ดีนะคะ"
"อย่างน้อยก็รู้ดีกว่าเจ้าก็แล้วกัน" คนจรตอบกลับทันควันพร้อมกับดึงตัวเธอเข้ามากอดแน่นเสียดื้อๆ เรียกเสียงอุทานเบาๆ ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะเคลียที่ข้างหูอีกครั้งพร้อมคำกระซิบ "แต่ไม่ว่าจะยังไง...เราก็ค่อยๆ เรียนรู้ด้วยกันได้ไม่ใช่หรือ"
โมโนเดาจากอุณหภูมิของสองแก้มว่าสีหน้าของเธอคงแดงก่ำเหมือนผลเอรีแล้วเป็นแน่ คนจรรั้งไหล่ของเธอออกห่างเล็กน้อยเพื่อจุมพิตริมฝีปากอีกครั้ง
ความอบอุ่นเริ่มกลายเป็นร้อนผะผ่าว...จนอีกไม่นานเขาก็ถอนริมฝีปาก ค่อยๆ ประคองเธอให้เอนหลังลงบนเตียง
เด็กสาวสบตากับเด็กหนุ่มซึ่งโน้มอยู่เหนือร่าง มือทั้งสองคู่เลื่อนเข้าหากัน นิ้วสอดประสาน เกี่ยวกระหวัดประหนึ่งจะสื่อไปถึงความแนบแน่นของกายในไม่ช้า ความเขินอายยังฝากไอร้อนไปทั่วไปหน้า ทว่าเธอกลับไม่อาจละสายตาไปจากดวงตาสีเขียวหยกที่จ้องตรงมา สบตรึงนิ่งประหนึ่งต้องมนต์สะกด
"ทำตัวตามสบาย
ไม่ต้องเกร็งนะ"
คำบอกนั้นทำให้เธอพยักหน้ารับน้อยๆ
ผลักความกังวลทั้งมวลออกไปจากใจ
และจดจ่ออยู่กับเพียงความสุขที่เขามอบให้ในชั่วขณะนี้เท่านั้น
ในยามบ่ายที่ได้กลับมาพบโมโนอีก เขายังไม่นึกฝันเลยว่าเรื่องต่างๆ จะกลับกลายไปได้เป็นเช่นนี้ เมื่อนัดเจอกันในยามค่ำ คนจรทำใจให้หวังเพียงจะได้พูดคุยถามไถ่ทุกข์สุข ไม่นึกเลยว่าเธอจะตกลงหนีมากับเขาแต่โดยดี หรือไม่นึกเลยด้วยซ้ำว่าทั้งสองจะได้สัมผัสความสุขที่ได้ใกล้ชิดกันถึงเพียงนี้
เขารู้แต่ว่าคืนนี้โมโนน่ารักเสียเหลือเกิน น่ารักจนเขาแทบห้ามใจไม่อยู่ อาจเป็นเพราะไม่ได้พบเธอมานานนับเดือน หรืออาจเป็นเพราะเธอไม่ได้อยู่ในชุดขาวตามปกติที่ตอกย้ำสถานะ "ว่าที่ภิกษุณี" หรืออาจเป็นเพราะทั้งผิวขาวเนียนที่ดูนวลละออใต้แสงเตาผิง ดวงตาดำขลับบนดวงหน้าแดงเรื่อที่เสมองอย่างเอียงอาย กลิ่นหอมอ่อนๆ ของเรือนผม และน้ำเสียงหวานใสที่ประกอบเป็นตัวเธอยิ่งทำให้ความปรารถนาจากส่วนลึกของใจท่วมท้นจนไม่อาจสะกดไว้ อยากโอบกอดเธอ พรมจุมพิต หรือแม้แต่ผูกพันแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวอยู่ร่ำไป
เมื่อเธอพูดว่า "แต่ข้าก็ไม่อยากเสียเวลานี้ไปเลยค่ะ" เขาจึงตอบ "ข้าก็เหมือนกัน" อย่างไม่ลังเล
พอซบหน้าลงกับซอกคอและไหล่ลาดละมุน เด็กหนุ่มก็ยิ่งเคลิบเคลิ้มไปกับความรู้สึกที่ไม่อาจห้าม กลิ่นเรือนผมและกายของโมโนหอมกรุ่นเหมือนดอกเซ็นนาสีขาวพิสุทธิ์กลางทุ่งยามราตรี มิใช่กลิ่นหอมรุนแรงเหมือนดอกไม้ที่อวดสีจัดจ้าน แม้แต่คำถามอย่างไร้เดียงสาก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าเธอไม่ต่างอะไรจากบุปผาสีขาวบอบบางไร้จริตมารยาจริงๆ
แต่เมื่อค่อยๆ ปลดเปลื้องอาภรณ์ของต่างฝ่ายออกทีละชิ้น ค่อยๆ มุ่งหน้าต่อไปแม้จะยังไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไร คนจรก็มิได้รู้สึกเลยว่าตนกำลังจะเด็ดทำลายดอกไม้บอบบางนี้ หรือทำให้กลีบสีขาวบริสุทธิ์ต้องฉีกขาดแปดเปื้อนเลยแม้แต่น้อย เพราะทั้งสองต่างก็ปรารถนาในสิ่งเดียวกัน ด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งเกินกว่าเพียงตัณหาราคะ ความรักฉายชัดอยู่ในดวงตาดำขลับเว้าวอนเบื้องหน้า น่าทะนุถนอมและทำให้เขาอยากมอบความสุขให้เธอพอๆ กับตนเอง ไม่สิ...มากกว่าตัวเขาเองเสียอีก
เด็กหนุ่มแทบอดใจรอเวลาที่จะได้เป็นหนึ่งเดียวกับเธอไม่ได้แล้ว
ทว่าเขาก็พยายามยั้งใจตนเองไว้ขณะโลมไล้ร่างเบื้องหน้าช้าๆ
ฟังเสียงลมหายใจแผ่วเบาที่เริ่มถี่กระชั้นด้วยความรู้สึกซึ่งเพิ่มพูนจนถึงจุดที่ไม่อาจกักเก็บไว้ได้อีก
โมโนรู้สึกเหมือนตนเองอยู่ในความฝัน ภาพร่างที่โน้มตัวอยู่เหนือตนเองใต้แสงไฟจากเตาผิงปรากฏเป็นเงาสลัวราวกับเป็นมายาเลือนลาง กระทั่งถ้อยคำและน้ำเสียงของทั้งสองยังเบาบางดั่งเสียงกระซิบที่มักได้ยินในห้วงนิมิต ทว่าผัสสะต่างๆ บอกเธอว่านี่คือความจริงแน่แท้
อบอุ่นเหลือเกิน...ยามเมื่อผิวเปลือยเปล่าปราศจากสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่คอยปิดบังอยู่ได้แนบชิด เปิดเผยตัวตนแก่กันและกันโดยมิต้องใช้ภาษาเป็นสื่อกลาง
นุ่มนวลเหลือเกิน...ยามเมื่อสัมผัสทั้งจากปลายนิ้วและริมฝีปากไล่เรื่อยเคล้าเคลียไปทั่วร่าง อย่างที่มีเพียงคนรักจะสัมผัสลึกซึ้งกันเพียงนี้เท่านั้น
อ่อนโยนเหลือเกิน...ยามเมื่อน้ำเสียงแผ่วเบาพร่ำถ่ายทอดความรู้สึกในใจให้เธอรับรู้ได้โดยมิต้องใช้กระทั่งวาจา
ลึกล้ำเหลือเกิน...ยามเมื่อทั้งสองได้เป็นหนึ่งเดียวกัน
ความละอายที่ได้เห็นร่างเปลือยเปล่าของเพศตรงข้ามเป็นครั้งแรกเลือนหายไปในสัมผัสอันนุ่มนวล ความเจ็บปวดที่แปลบขึ้นครู่หนึ่งเมื่อเขาเริ่มแทรกกายเข้ามาก็ปลาสนาการไปไม่ช้า เขาช่างแสนดี รอคอยอย่างใจเย็น ปลอบประโลมเธอทั้งด้วยวาจาและสัมผัส ริมฝีปากจุมพิตกลืนกินหยาดน้ำซึ่งรินจากหางตา มือใหญ่ที่ประสานกับมือเล็กบางบีบเบาๆ เหมือนจะให้กำลังใจ ไม่มีการฉุดดึงเร่งเร้าด้วยกำลัง เพียงแต่รอคอยเพื่อให้เพื่อนร่วมทางพร้อมจะมุ่งหน้าต่อไปด้วยกันบนเส้นทางที่เรียกว่า 'ความรัก' เท่านั้นเอง
ไม่นานบนทางสายนี้ ความสงสัยที่มีต่อเรื่องราวที่เคยอ่านก็ได้รับคำตอบโดยไม่ต้องซักถาม
เป็นเช่นนี้เองที่กวีเปรียบเปรยไว้ ที่สุดปลายเส้นทางคือความเย็นฉ่ำชุ่มชื่นเหมือนสายฝน ถาโถมแรงดั่งลมพายุแต่มิได้กราดเกรี้ยวหรือหมายมุ่งทำลายล้าง ให้ชาวาบไปทั้งร่างเหมือนต้องสายอสนีบาต ก่อนจะกลับสว่างสดใสและอบอุ่นดั่งแสงตะวันหลังคืนพายุ สตรีคือบุปผาที่ผลิบานกำจายกลิ่นหอมกรุ่น บุรุษคือแมลงภู่ภมรที่ลิ้มชมกำซาบเกสรหวานล้ำ เติมเต็มซึ่งกันและกันให้สมบูรณ์
...และแล้วดอกไม้สีขาวบอบบางกับแมลงภู่ที่ได้ผูกพันเป็นหนึ่งเดียวก็ทอดร่างเคียงคู่กัน ไร้ความคิดจะพรากจากอีกฝ่าย ดอกไม้มิได้คิดเลยว่าตนเองชอกช้ำสิ้นค่า และแมลงภู่ก็มิได้มุ่งหมายจะผละไปเชยชมดอกไม้อื่นอีกต่อไป...
เด็กสาวนอนหนุนท่อนแขนที่เคยโอบกอดเธอไว้แนบอก มีแขนอีกข้างหนึ่งทาบเหนือร่าง ส่วนมือที่ปลายแขนนั้นแตะแผ่นหลังเปลือยเปล่า รั้งร่างแบบบางเข้ามาใกล้จนดวงหน้าของเธอซบกับแผ่นอกอุ่น
แม้นไร้คำพูดใดๆ เสียงและสัมผัสเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว แค่ได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายที่เต้นอยู่ในอก และรู้สึกว่าทุกลมหายใจเข้าออกของทั้งสองตรงเป็นจังหวะเดียวกันก็ยิ่งย้ำความรู้สึกของการได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันเมื่อครู่ให้ยิ่งแจ่มชัดไม่คลาย
โมโนหลับตาพร้อมกับระบายลมหายใจยาวอย่างอิ่มเอม ก่อนจะรู้สึกถึงมือที่เคลื่อนจากแผ่นหลังมาใช้ปลายนิ้วไล้แก้มกับคาง
"มีความสุขไหม"
เป็นคำพูดแรกจากเขาหลังช่วงเวลานั้นผ่านไป และเด็กสาวก็กระซิบตอบ
"ค่ะ แต่ว่า..." เธอตั้งใจเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง จนมีเสียงถามด้วยความสงสัย
"แต่อะไรหรือ"
"...ข้ารู้สึกว่ากวีเขียนตกไปน่ะค่ะ"
"หือม์"
โมโนคลี่ยิ้มขวยเขิน แม้นอีกฝ่ายจะมองไม่เห็น
"ก็ที่พวกเขาเปรียบว่า...การ...เอ่อ..."
"ร่วมรักน่ะหรือ" ถ้อยคำนั้นทำให้เด็กสาวรู้สึกหน้าร้อนผ่าว แต่ทั้งกระแสเสียงและนัยแฝงในคำก็ช่างเหมาะสมกับสิ่งที่ทั้งคู่เพิ่งผ่านมายิ่งกว่าคำใด
"ค่ะ...ที่เขาเปรียบว่า...การร่วมรัก...เหมือนกับสายฝน เหมือนกับพายุไปจนถึงแสงแดดยามเช้า หรือเหมือนดอกไม้กับผึ้งน่ะค่ะ"
คนจรยังนิ่งเงียบอยู่ เด็กสาวเลยขยายความต่อ
"สำหรับข้า...ยังเหมือนข้ามห้วงสมุทรมหรรณพ์นับพัน...ไปยังที่ที่มีเพียงเราสองคนที่ไปถึงได้เท่านั้นด้วย"
เด็กหนุ่มทำเสียงรับในลำคอเหมือนขำน้อยๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบเรือนผมที่แผ่ปรกหมอนอย่างเอ็นดูเหมือนเด็กๆ
"คิดจะเป็นกวีกับเขาอีกคนหรือ"
"ก็ข้าคิดอย่างนั้นจริงๆ นี่คะ" เด็กสาวตอบยิ้มๆ ก่อนจะย้อนบ้าง "แล้วท่านล่ะ"
"ข้าน่ะหรือ..." ริมฝีปากที่เอ่ยตอบโน้มลงแตะหน้าผากคนถามเบาๆ "ข้าไม่ใช่คนเจ้าบทเจ้ากลอนอะไรนัก คงบอกได้แค่ว่า...เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดจนข้าไม่อยากให้ผ่านไปเลยเท่านั้นเอง"
ถ้อยกระซิบต่อมายิ่งชะโลมความอบอุ่นอ่อนโยนลงในใจ
"...เพราะเป็นเจ้านี่แหละ โมโน"
เด็กสาวยิ้มอย่างตื้นตัน ซุกตัวเข้าชิดร่างใหญ่ วางมือเล็กๆ ทั้งสองบนแผ่นอกของอีกฝ่าย เขาสวมกอดรับในเวลาต่อมาก่อนจะเลื่อนใบหน้ามาสบตาด้วยและเริ่มจุมพิต ค่อยๆ เริ่มจากแผ่วเบานุ่มละมุน แล้วแปรเป็นร้อนรุ่มหนักหน่วงแฝงความปรารถนาที่กลับคุโชนขึ้นอีก
"พี่คนจร..." เมื่อริมฝีปากแยกจาก โมโนก็แทบหอบหายใจ พึมพำเบาๆ เหมือนพูดอะไรอย่างอื่นไม่ออก วงแขนแข็งแกร่งที่ยังโอบรอบร่างขณะเขาพลิกตัวเป็นนอนหงายดึงให้ร่างน้อยเกยบนแผ่นอกของตน ครั้นเธอจะขยับตัวออกห่างด้วยความอายก็ทำมิได้ เพราะทั้งสองมือของเด็กหนุ่มยังทาบทับเหนือแผ่นหลังและเริ่มลูบไล้
"เรายังมีเวลาอีกสักพักใช่ไหม" คำพูดแผ่วเบาของคนจรเตือนถึงเสียงสายฝนที่ยังพรมพรำนอกหน้าต่าง ก่อนที่เขาจะโน้มคอเธอลงมาพรมจูบเบาๆ ที่แก้ม "ขออีกหน่อยเถอะนะ โมโนคนดี"
เด็กสาวซบหน้าลงข้างใบหน้าของเขา ป้อนคำกระซิบข้างหูตอบเสียงออดอ้อนแบบที่มิเคยได้ยินมาก่อนจากคนตรงหน้าด้วยความเต็มใจ
"ค่ะ..."
และ 'เวลา' ในยามราตรีก็ดำเนินต่อไปพร้อมๆ กับสัมผัสแห่งความรักที่ยิ่งตราตรึงเปี่ยมล้นอย่างที่เด็กสาวไม่เคยนึกฝันมาก่อนเลยว่าจะมีวันเช่นนี้ในชีวิต
ในชั่วขณะนั้น...เธอลืมไปจนสิ้น
ลืมเรื่องที่ตนเองเป็นใคร...ผู้มีโลหิตดำ...ผู้ถูกเลือก...ว่าที่ภิกษุณี...ทั้งกฎเกณฑ์ที่ว่าเธอต้องรักษาพรหมจรรย์ เธอคงจะลืมกระทั่งชื่อ "โมโน" ของตนไปด้วยซ้ำ หากว่าเขาคนนั้นมิได้พร่ำเรียกชื่อเธออย่างอ่อนหวานนับครั้งไม่ถ้วน
ลืมเรื่องที่เขาเป็นชาวเผ่าอัสลาน...คนต่างชาติต่างศาสนา...ชายคนหนึ่งที่เธอเพิ่งรู้จักได้แค่สามเดือน
รู้เพียงว่าเขาคือคนที่เธอเรียกว่า
"พี่คนจร"
ที่เธอรักด้วยใจทั้งใจเท่านั้น
ลืมกระทั่งชะตากรรมที่รออยู่เบื้องหน้าตนเองและคำห้ามปรามที่เธอได้ยินมาแต่เล็กแต่น้อย ว่าผู้ถูกเลือกที่ปล่อยใจของตนไปกับความรื่นรมย์ในทางโลกจะนำหายนะร้ายแรงใดมาสู่สิ่งรอบข้าง
หลังจากปลายเส้นทางแห่งความรักอันละเมียดละไมที่ผ่านมาเป็นครั้งที่สองนี่เองที่การระลึกถึงทั้งมวลถาโถมเข้าใส่ ให้เธอใจสั่น หวั่นไหวจนต้องซบนิ่งกับอกของเด็กหนุ่ม ให้อ้อมกอดของเขาเตือนถึงความสุขและความหวังอันแสนงามที่ทั้งสองมีร่วมกัน แทนที่จะเป็นความจริงอันน่ากลัวเบื้องนอกนั้น
"เป็นอะไรไปหรือ" อีกฝ่ายถามอย่างอ่อนโยน "ขดตัวเสียกลมเชียว"
"...ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหมคะ" โมโนถามเสียงแผ่ว
"ก็ไม่ได้ฝันไปน่ะสิ" เขาเชยคางของเธอให้เงยหน้าขึ้นสบตาด้วย "ข้าอยู่ใกล้กับเจ้าถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะคิดว่าเป็นแค่ฝันอีกหรือ"
เด็กสาวสั่นศีรษะ นี่ไม่ใช่ความฝัน แต่ถึงกระนั้น...
"แต่ข้า...ข้าก็ยัง...กลัวน่ะค่ะ"
"กลัวอะไรล่ะ"
โมโนรู้สึกเหมือนลำคอตีบตัน พูดไม่ออกขึ้นมาในทันควัน ดวงตาร้อนผ่าวจนเธอต้องพยายามกลั้นน้ำตาไว้
"ข้าไม่มีวันทิ้งเจ้าไปหรอก"
"ไม่ใช่ค่ะ" เด็กสาวรีบปฏิเสธ "ก็แค่...กลัวอะไรหลายๆ อย่าง อย่าง...ถึงพรุ่งนี้แล้วพวกเราจะเป็นยังไงต่อไปต่างหาก"
มือของเขาเลื่อนมาลูบผมของเธออย่างปลอบโยนพร้อมคำกระซิบ
"อย่าคิดมากเลย ยังไม่ถึงเวลานั้นสักหน่อย"
"...ค่ะ" โมโนพยายามปลอบตนเองตามคำบอก จริงว่าในเมื่อเวลานั้นยังมาไม่ถึง...เธอจะกังวลแทนที่จะซึมซาบความรู้สึกแสนวิเศษที่ได้อยู่ร่วมกันนี้ไปทำไม
"ว่าแต่...เจ้าง่วงหรือเปล่า" คนจรถาม
เธอกำลังจะตอบว่า "ไม่ค่ะ" อยู่พอดีเมื่อจู่ๆ ขากรรไกรเริ่มเหยียดออกเองจนยกมือขึ้นปิดปากแทบไม่ทัน เรียกคำเปรยเจื่อนๆ จากเจ้าของคำถาม
"ง่วงจริงๆ ด้วยสิ ขอโทษนะ"
"ขอโทษทำไมล่ะคะ"
"ก็...ขอโทษที่ไม่ยอมปล่อยให้เจ้าได้นอนน่ะ" เด็กหนุ่มขยายความ "เจ้าคงทั้งง่วงทั้งเหนื่อยแย่"
"ก็นิดหน่อยน่ะค่ะ" เด็กสาวรับเมื่อเพิ่งรู้สึกตัวว่าหนังตาของตนออกจะหนักๆ อยู่ และร่างกายก็เริ่มอุทธรณ์ด้วยความเพลียกับเมื่อยล้า "แต่ไม่เป็นไรหรอก ข้าก็...รู้สึกดีนะคะ"
"ขอบใจนะ" อีกฝ่ายกอดเธอแน่นขึ้นครู่หนึ่ง เงียบไปอีกสองสามอึดใจจึงได้เอ่ยต่อ "คงมีเวลาอีกสักชั่วยามกว่าๆ ก่อนเช้า เจ้านอนพักเอาแรงสักหน่อยเถอะ"
"ค่ะ" โมโนรับอย่างว่าง่ายเมื่อตนเองทำท่าจะหาวซ้ำอีกครั้ง "ราตรีสวัสดิ์นะคะ"
คนจรจุมพิตเธอที่หน้าผาก และกระซิบตอบเบาๆ
"ราตรีสวัสดิ์ ฝันดีนะ"
เด็กสาวคลี่ยิ้มน้อยๆ แม้นยามหลับตาลงแล้ว และกระซิบเบาๆ
"ก็กำลังฝันดีอยู่แล้วนี่คะ"
...เธอกำลังฝันดีอยู่แล้ว
เพราะที่ข้างกายมีคนที่มอบความอบอุ่นอ่อนโยนจากความรักอย่างที่เธอไม่เคยรู้สึกมาก่อนให้เธอนี่เอง...
"ใครบอกว่าฝัน เป็นความจริงต่างหาก" คนจรแย้ง
ไม่มีเสียงตอบ...เด็กหนุ่มเลยลองถามเบาๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปนาน
"หลับแล้วหรือ โมโน"
ร่างในอ้อมกอดมีเพียงเสียงลมหายใจที่แผ่วช้าเป็นจังหวะ เขาเลยยิ้มน้อยๆ ด้วยความเอ็นดูก่อนจะปัดผมสีดำที่ตกลงปรกหน้าไปด้านหลัง แล้วมองดวงหน้าที่หลับตาพริ้มอยู่เช่นนั้นด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างอะไรกับเจ้าบ่าวมองเจ้าสาวที่หลับใหลอยู่ข้างกายในคืนวิวาห์
น่าแปลก ทั้งๆ ที่ยามอยู่ในเผ่า เขาก็ไม่เคยคิดจริงจังว่าเมื่อตนต้องแต่งงานสักวันจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นตอนที่รู้ว่าพี่เซลุย พี่ชายของตนชอบพอกับพี่เออร์เดเน ตอนช่วยตระเตรียมงานแต่งงานของพี่เซลุย หรือรู้ว่าเด็กสาวในเผ่าคนใดสักคนต้องตาต้องใจเพื่อนวัยเดียวกันกับเขา แน่นอนว่าบรรดาผู้ใหญ่ในเผ่าห้ามปรามกวดขันไม่ให้วัยรุ่นชายหญิงก่อนผ่านพิธีเติบใหญ่กระทำการผิดประเพณีเด็ดขาด
แต่คนจรไม่เคยต้องถูกปรามเรื่องนั้น เขาไม่มีทีท่าจะสนใจเด็กสาวคนไหน ไม่เคยคิดเรื่องการเตรียมตัวสร้างครอบครัว ภาพของตนเองที่มองเห็นในอนาคตก็มีเพียงนายพรานที่ง่วนกับการล่าสัตว์หรือขี่ม้าท่องเที่ยวตามใจในแต่ละวัน พออายุเข้ายี่สิบอาจจะจับม้าป่ามาเลี้ยงสักตัวสองตัว แล้วค่อยๆ ขยับขยายเลี้ยงฝูงม้าเพื่อให้ฐานะมั่งคั่งขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะรู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนเองควรจะแต่งงานกับหญิงในเผ่าสักคนเพื่อสืบสายเลือด แต่เขาก็นึกไม่ออกเลยว่าตนเองจะรักใครหรือแต่งงานกับใคร
...จนกระทั่งมาพบเด็กสาวเบื้องหน้าคนนี้อย่างไม่คาดฝัน ไม่ได้คาดหมายว่าจะรัก และไม่ได้คาดหวังด้วยซ้ำว่าจะมีวันที่ได้ผูกพันลึกซึ้งกันเช่นนี้...
อาจฟังดูไร้เหตุผล...แต่เขามั่นใจว่าเป็นเพราะความรักนี่เองที่ทำให้เขายอมทิ้งเผ่า ครอบครัวญาติมิตร ทิ้งพิธีเติบใหญ่และแผนการในอนาคตไปกับเธอ ฝ่าฝืนข้อห้ามและธรรมเนียมปฏิบัติของต่างฝ่ายเพื่อเด็กสาวคนเดียวในใจของเขานี้ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ฐานะ ศาสนาที่แตกต่างกัน หรือเวลาที่ใช้ร่วมกันเพียงสามเดือนก็มิได้สำคัญเลยสักนิด เมื่อเทียบกับความคิดที่ว่าเขาอยากใช้ชีวิตร่วมกับเธอ ได้พูดคุยพบเห็นหน้ากันทุกวัน ได้ร่วมทุกข์สุขกันฉันท์สามีภรรยาจนกว่าจะตายจากกันไป
ใบหน้าของโมโนใสบริสุทธิ์เหมือนเด็กไม่แปรเปลี่ยน ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าสิ่งที่เขามอบให้เธอมิใช่รอยราคีหรือมลทิน มิใช่การทำลายความบริสุทธิ์ มิใช่กระทั่งการตีตราครอบครองเป็นเจ้าของ เขามิได้ครอบครองเธอ และเธอก็มิได้ครอบครองเขา ทั้งสองมอบความสุขให้แก่กัน เติมเต็มซึ่งกันและผูกพันหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวเช่นที่ควรเป็นในฐานะคนรักต่างหาก
และเขาก็อยากมองเธอยามหลับเช่นนี้ไปเสียเรื่อยๆ เหลือเกิน ไม่อยากกระทั่งจะเสียเวลาไปกับการนอนหลับพักผ่อนของตนเองเลยสักชั่วครู่เดียว
ทว่าหลังผ่านไปอีกไม่นาน
ความเหนื่อยอ่อนก็ทำให้สติของเขาดิ่งลึกลงสู่นิทรารมย์อย่างเป็นสุข
ภายใต้ความอบอุ่นอ่อนโยนที่ห่อหุ้มทั้งสองนั่นเอง
Note: ไม่นึกเหมือนกันแฮะว่าผมจะเขียนฉากเลิฟซีนของเรื่องสุดซีเรียสหดหู่นี่ออกมาได้ ^^;;;
สำหรับตอนนี้ต้องเรียกว่าเป็น Author Service สนองใจคนเขียนแท้ๆ ด้วยแรงบันดาลใจจาก "คลีนิกปรึกษาปัญหาเลิฟซีน" ของเฮียบลู-มะ-ริน (ตอนนี้ลบเรื่องไปแล้ว) ที่ไปเจอเข้า อ่านไปขำไป แล้วก็นึกถึงเรื่องของคู่คนจรกับโมโนซึ่งเป็นคู่ที่มีความสัมพันธ์เด่นชัดที่สุดในบรรดาเรื่องที่ผมเคยเขียนมาทั้งหมด จึงได้ลองเขียนออกมาเพื่อให้เฮียสับดู เผื่อจะพบมิติใหม่ของความขำภายในเลิฟซีนของเรื่องนี้กับเขาบ้างครับ ^^;;;
ผมเขียนเองก็ยังขำกับความซื่อของโมโนเลย
ขำจนกลัวว่าจะหมดอารมณ์หวามของเลิฟซีนที่ปูไว้
แต่ผมก็คิดแบบเดียวกับคนจรนะครับว่าโมโนแบบนี้น่ารักจริงๆ
(ชมลูกสาวตัวเองแบบนี้ชักไงๆ
อยู่แฮะ ^^;;; ) และสมกับคาแรกเตอร์ของโมโนที่โตขึ้นมาในอาราม
ถูกปิดกั้นจาก
"เรื่องของผู้ใหญ่"
การมองโลกของโมโนที่มีต่อเรื่องความรักเลยสวยงามละเอียดอ่อนเป็นอุดมคติ
ซึ่งง่ายต่อการถ่ายทอดมากกว่าคนจรที่น่าจะมองอย่างตรงไปตรงมามากกว่า
และคงทำให้ผมกระอักกระอ่วนใจที่จะเขียนมากกว่า
เลยเลือกมองจากมุมมองของโมโนเป็นหลักแทน
^^;;; ส่วนมุมมองของคนจรก็จะมองแบบองค์รวมมากกว่าจะเน้นรายละเอียด
และคิดถึงอนาคตของทั้งสองในฉากท้ายสุดเพื่อสรุปจบเรื่อง
(เฮ้อ...แค่รักแรกสามเดือนก็คิดไปไกลซะขนาดนี้แล้วนะจอห์นเอ๊ย...)
ขออธิบายขยายความหน่อยสำหรับความสัมพันธ์ของสองคนนี้
ว่าผมอยากสร้างให้เป็นความรักที่ต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคหลายๆ
อย่าง
รวมถึงเชื้อชาติสถานะที่ไม่น่าจะรักกันได้
การหนีตามกันจึงเป็นทางออกเดียว
และเมื่อเข้าข่ายหนีตามกันแล้ว
ประเพณีธรรมเนียมก็ย่อมจะไม่สำคัญ
จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่คู่นี้จะมีสัมพันธ์ก่อนแต่งงานครับ
ถ้านับตามมุมมองของคนจร
อาจถือว่าทั้งสองทำพิธีแต่งงานย้อนหลังในเช้าวันถัดมา
หรือจะก่อนหน้านั้นอีกในช่วงกลืนกินน้ำตาก็ได้
แต่เหตุสำคัญคือไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากผู้ใหญ่
ไม่มีพิธีเป็นธรรมเนียมให้คนรู้
นี่ว่ากันตามคำนิยมหนังสือเรื่อง
“บท (X)
อัศจรรย์ในวรรณคดี”
ของคุณนิธิ
เอียวศรีวงศ์
ว่าคู่ชายหญิงจะสำนึกว่าตนเป็นสามีภรรยากันแล้วก็หลังจากมีสัมพันธ์
ส่วนพิธีเป็นเรื่องของการประกาศให้คนรอบข้างรู้ว่าความสัมพันธ์นี้มีขึ้นแล้วและเป็นเรื่องถูกต้องเท่านั้นเอง
จะว่าไปคู่นี้ก็ไม่ต่างจากหลายๆ
คู่ในวรรณคดีไทย
ที่มีสัมพันธ์กันก่อนมีพิธีแต่งงาน
หรือบางคู่ไม่เคยมีพิธีแต่งงานด้วยซ้ำ
ทั้งนี้ทั้งนั้น
ผมมีความคิดเป็นกลางกับการมีสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน
หรือเรียกง่ายๆ
ว่าชิงสุกก่อนห่ามนะครับ
ไม่ได้สนับสนุน
แต่ก็ไม่ถึงกับปิดกั้นว่ามีไม่ได้เป็นอันขาด
ผมคิดว่าสังคมสมัยนี้เปลี่ยนไปแล้ว
บางครั้งการแต่งงานก็ต้องรอให้งานการลงตัว
ต้องใช้เงินจัดพิธี
หาบ้าน
อะไรต่อมิอะไรจิปาถะจนยุ่งยาก
ขณะที่ความสัมพันธ์เป็นเรื่องส่วนตัวและความพร้อมของแต่ละคู่มากกว่า
ถ้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ดูแลตัวเองได้
มีความรู้และเตรียมตัวพร้อมในทุกเรื่องที่จะตามมากับความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปก็น่าจะไม่เป็นไร
แต่ถ้าเป็นคู่ที่เป็นเด็ก
ติดภาระเรียนหนังสือ
พ่อแม่ยังต้องส่งเสียอยู่
ก็ย่อมไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวงครับ
ย้อนกลับมามองในเรื่องบ้าง คนจรอายุสิบเจ็ด ส่วนโมโนอายุสิบหก อาจจะนับว่าเป็นเด็กอยู่ แต่ในสังคมโบราณที่เป็นต้นแบบของสังคมในเรื่องนี้ ก็คงมองว่าอายุเท่านี้ใกล้ๆ พอเหมาะกับการแต่งงานแล้ว และคนสมัยนั้นก็มักถูกเลี้ยงให้เป็นผู้ใหญ่เร็ว ทำงานการรับผิดชอบตัวเองได้ คนจรมีประสบการณ์ชีวิตสูงพอตัวจากตอนเดินทางพเนจร รู้วิธีทำงานสารพัดช่างเอาตัวรอด ในขณะที่โมโนถึงประสบการณ์ชีวิตจะแทบเป็นศูนย์ แต่เธอก็มีการศึกษาดีกว่าคนทั่วไป มีความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่มาทดแทนความเลือดร้อนแบบเด็กๆ ของคนจร ทำให้เข้าใจกันและกันได้ นอกจากนี้ผมก็อยากแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองถึงจะพบเจอกันแค่สามเดือน แต่ก็มีความรักเป็นตัวเชื่อม ไม่ใช่ความใคร่หรือความลุ่มหลง ทำให้กลายเป็นสิ่งสวยงามละเอียดอ่อนเช่นที่ผมพยายามถ่ายทอดในไซด์สตอรี่ตอนนี้
โอเค หมดเรื่องหนักๆ ถือว่าเป็นของขวัญตอบแทนโมโนหลังจากบทใน Ravished ก็แล้วกันนะครับ ผู้อ่านจะได้เห็นความแตกต่างระหว่างปฏิสัมพันธ์ของโมโนกับคนจร และโมโนกับยาฮีมด้วย
สำหรับตอนนี้
มีของแถมเป็นเบื้องหลังการถ่ายทำเทคพลาด
ก่อนจะได้ฉากที่สมบูรณ์ครับ
----------------------------------
เทคที่ 12....แอ็คชั่น!
----------------------------------
- เหตุการณ์ - หลังจากโมโนบอกว่าตัวเองไม่รู้อะไร และโดนคนจรซักเสียละเอียดยิบก่อนจะเริ่มหวานต่อ
- ภาพ - มีเพียงเงาสลัวของคนสองคน รบกวนให้ผู้อ่านจิ้นสิ่งที่เกิดในความมืดเอาเอง เนื่องจากผิดจรรยาบรรณนักเขียนที่จะเปิดเผย
โมโน: พี่คนจรคะ...
คนจร: หือม์?
โมโน: ท่านกำลังทำอะไรเหรอคะ?
คนจร: เอ่อ...ก็...*ปี๊บ* (เซ็นเซอร์คำอธิบายทางทฤษฎีช่วงแรก)
- เวลาผ่านไปอีกสักพัก -
โมโน: พี่คนจรคะ...
คนจร: ทำไมเหรอ?
โมโน: ...ต้องทำ...เอ่อ...แบบนี้ด้วยเหรอคะ?
คนจร: เอ่อ...ก็...ก็ต้องน่ะสิ...เพราะ... *ปี๊บ* (เซ็นเซอร์คำอธิบายเหตุผลที่ต้องทำโดยอาศัยทฤษฎีช่วงที่สอง)
- เวลาผ่านไปอีกนิดหนึ่ง -
โมโน: พี่คนจรคะ...
คนจร: อะไรอีกล่ะ?
โมโน: นี่...เอ่อ...คืออะไรเหรอคะ? ทำไมถึงได้...เอ่อ............
คนจร: .....................................................................
โมโน: ......................พี่คนจรคะ?.............................
คนจร: .................................................เข้านอนกันเถอะนะ
พรึ่บ...ฟุ่บ (เสียงทิ้งตัวลงบนเตียงและขยับผ้าห่ม...อย่าคิดลึกนะ ^^;;; )
โมโน: อ่ะ...ทำไมล่ะคะ?
คนจร: .................................ขอโทษนะ ข้าเหนื่อยน่ะ... .oO(รอไปอีกสองสามปีดีกว่ามั้งนี่ )
โมโน: ...........................................
คนเขียน: (ทนไม่ไหว ลุกขึ้นมาเปิดไฟ เผยให้เห็นภาพนายจอห์นที่นอนตะแคงห่มผ้าหันหลังให้หนูโมที่นั่งถือผ้าห่มบังหน้าแดงเป็นลูกตำลึง) เหนื่อยอะไรน่ะจอห์น? ยังไม่ทันถึง...เอ่อ...ครึ่งฉากเลย
คนจร: ขอโทษนะ ท่านคนเขียน ตอบคำถามแล้วมันเหนื่อยใจ
คนเขียน: เฮ้ย ได้ไง โมโนก็อินโนเซ็นต์แบบนี้ของเขาแหละ น่ารักออกไม่ใช่เหรอ?
คนจร: ขอโทษทีเถอะ ไม่ใช่แค่อินโนเซ็นต์ นี่มัน "โอ้โนเซ้นส์" แล้ว รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะรังแกเด็กประถมไม่มีผิด
โมโน: ........เด็กประถม...?..........
คนเขียน: ก็ไหนทั้งสองคนรีเควสท์ฉากหวานๆ แบบนี้มาเองไม่ใช่รึ?
คนจร: ขอโทษนะ หวานแบบนมผงเด็กแบบนี้ไม่เอาหรอก
โมโน: .........นมผงเด็ก...?..........
คนเขียน: แล้วกัน อย่ามีปัญหานักได้มั้ยคู่นี้? คู่พระคู่นางแท้ๆ นะ ทีของยาฮีมยังถ่ายแค่สามเทคผ่านฉลุยเลย
คนจร: (ฟิวส์ขาด) ก็ยาฮีมมันขา SM อยู่แล้วนี่!
ยาฮีม: (สะดุ้งเฮือกขณะกำลังนั่งอ่านเบอร์เซิร์กอยู่นอกฉากในมุมมืด).oO(SM? พาดพิงอะไรถึงตูฟะ? )
คนเขียน: แต่ยาฮีมไม่ได้เป็นพระเอกยังตีบทแตกขนาดนี้เลย แกจะยอมแพ้เรอะจอห์น?
คนจร: (ถอนใจพรืดแต่เริ่มฮึดเพราะไม่อยากแพ้) เอ้าๆ ก็ได้ๆ เดี๋ยวลองใหม่อีกที
โมโน: (คว้าเสื้อคลุมมาสวมแล้วหันหน้าหนี) แต่หนูไม่โอเคแล้วค่ะพ่อ
คนเขียน: อ้าว เดี๋ยวสิลูก ก็ไหนลูกเป็นคนขอสวีทกับจอห์นนานๆ เองไม่ใช่เหรอ?
โมโน: แต่เขาหาว่าหนูเป็นเด็กประถมนี่คะ! แถมยังหาว่าหนูรสชาติเหมือนนมผงเด็กอีก!! แบบนี้ไม่เอาด้วยแล้ว!!
คนจร:.oO(ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าเธอรสเหมือนนมผงเด็ก )
คนเขียน: ..............................
คนจร: แล้วจะเอาไงล่ะ? ท่านคนเขียน?
คนเขียน: งั้นตัดฉากนี้ออกไป ไปตามเจ้าแม่มาเข้าฉากใน "คืนแห่งคราส" แทนก็แล้วกัน
โมโน: (หันกลับมาทันที) ไม่เอาค่ะ! ถ้าจะถ่ายฉากนั้น...เอาฉากนี้ให้จบก่อนดีกว่าค่ะ หนูยอมเล่นต่อก็ได้
คนจร: ..........................................
คนเขียน: โอเค งั้นเตรียมเทคที่ 13 .oO(แผนพิษรักแรงหึงได้ผลแฮะ )
และโมโนกับคนจรก็ตั้งใจเล่นจนเทคที่
13 ผ่านไปได้อย่างราบรื่นด้วยประการฉะนี้...
(- -) เอวัง (- -)
(ถือว่าอ่านเล่นๆ
นะครับ
อย่าเพิ่งภาพพจน์ตัวละครแตกสลายกันล่ะ
^^;;; )
ปล. ขอขอบคุณคุณ Blue Mouse สำหรับความเห็นในการเพิ่มเติมโน้ตท้ายตอนครับ