Mono and Yaheem's Side Story
Ravished
เสี้ยวจันทร์สลัวปรากฏลางๆ หลังม่านเมฆเป็นแสงเพียงอย่างเดียวที่นำทางให้เด็กสาวซึ่งก้าวเดินไปตามทางดินเล็กๆ ชื้นแฉะลัดเลาะท่ามกลางแมกไม้สองข้างทาง สำหรับคนธรรมดาเส้นทางนี้อาจมืดทึบเหลือเกินเมื่อไร้แสงตะเกียง ทว่าเธอสามารถเห็นภาพรอบด้านได้ชัดเจนอย่างประหลาด
แม้จะชังตนเองที่มีสายเลือดต้องสาป แต่ในวันนี้เธออดนึกไม่ได้ว่าต้องขอบคุณความสามารถการมองเห็นในที่มืดจากสายเลือดนี้ เพราะมันทำให้การลอบออกมาและกลับเข้าอารามในยามราตรีสะดวกขึ้น ในเมื่อไม่ต้องพกตะเกียงเพื่อให้แสงนำทาง ซึ่งทำให้โอกาสที่จะถูกสังเกตเห็นและจับได้เพิ่มขึ้นมากพอกัน
เหลือแค่ลอบออกมาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น โมโนบอกกับตนเอง หลังเช้ามืดนี้ ที่เธอต้องทำก็มีแค่เก็บรวบรวมข้าวของที่จำเป็นโดยไม่ให้ใครรู้ และรอให้ถึงเวลาค่ำที่เธอจะได้ไปจากที่นี่เป็นการถาวร ไปจากชะตากรรมที่ถูกกำหนดให้ ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในที่ที่ไม่มีใครรู้จักเธออย่าง 'ผู้ถูกเลือก' ที่เธอเป็นอยู่อีกต่อไป กับพี่คนจรที่เธอรัก...
ชื่อนั้นทำให้เด็กสาวยกมือขึ้นกอดสองแขนโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อยเมื่อนึกถึงไออุ่นที่ยังประทับอยู่บนร่าง ปลายนิ้วเลื่อนไปแตะที่เปลือกหอยซึ่งแนบผิวใต้เสื้อขณะที่คิดปลอบตนเองว่าสิ่งที่เธอทำลงไปนั้นไม่ผิดเลยสักนิด ก็ในเมื่อเด็กสาวที่ไหนๆ ต่างก็มีความรักและแต่งงานกับคนที่รักได้ แล้วทำไมถึงต้องมีโมโนคนเดียวที่ทำไม่ได้ด้วยเล่า
จังหวะนี้เองที่เธอก้าวผ่านไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง และจู่ๆ ก็ถูกเงื้อมมือใหญ่รวบร่างไว้โดยไม่ทันตั้งตัว พออ้าปากจะกรีดร้อง ก็พบมืออีกมือปิดปากไว้แน่นก่อนจะถูกผลักเบาๆ ให้หลังปะทะลำต้นไม้
เด็กสาวเบิกตาโพลงเมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นผู้ที่จับกุมเธอไว้ ชายหนุ่มเจ้าของผมสีน้ำตาลยาวกับดวงตาสีเดียวกัน สวมเพียงเสื้อผ้าฝ้ายหลวมๆ สีดำกับกางเกงสีเดียวกัน ปราศจากหน้ากากชุดเกราะที่มักเห็นจนชินตานั้นเป็นคนที่เธอรู้จัก
เสียงของอีกฝ่ายกระซิบ ทว่าห้วนสั้นเด็ดขาด
"ถ้าส่งเสียงดัง เรื่องถึงพระเถระแน่ขอรับ"
มือที่ปิดปากไว้คลายออกให้เธอได้หายใจทั่วท้องขึ้น และนั่นเองคือสิ่งที่โมโนทำในสองสามอึดใจต่อมาขณะก้มหน้าไม่ยอมมองอีกฝ่าย จนชายผู้มากวัยกว่าเป็นฝ่ายถาม
"ท่านออกมาตอนกลางคืนทำไมขอรับ"
"...แล้วท่านล่ะ ออกมาทำไม" เด็กสาวย้อนถามเมื่อนึกคำตอบไม่ออก
"ข้าถามท่านก่อนนะขอรับ"
"องครักษ์ประจำอารามมีสิทธิ์คาดคั้นว่าที่ภิกษุณีด้วยหรือ"
"แต่องครักษ์ประจำอารามมีสิทธิ์รายงานพระเถระนะขอรับ"
โมโนกัดริมฝีปากอย่างจนใจ เร่งคิดหาคำตอบที่ฟังดูสมเหตุสมผลที่สุด
"ข...ข้าก็แค่ออกมาเดินเล่นเท่านั้นเอง"
"ข้างนอกอาราม ในคืนที่ฝนตกหนักขนาดนี้น่ะหรือขอรับ"
"ก็...ทีแรกข้าไม่นึกว่าฝนจะตก เลยรีบไปหลบฝนที่บ้านท่านปู่โยเร"
ยาฮีมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจนเด็กสาวเริ่มหวั่นวิตก และคำพูดต่อมาของเขาก็ทำให้ใจของเธอร่วงวูบ
"ถ้าอย่างนั้น...ข้าขอพาท่านไปที่นั่นอีกทีได้ไหมขอรับ"
"ไม่นะ" โมโนเผลอตัวร้องออกมา พอเห็นสายตาคาดคั้นของอีกฝ่ายก็รีบพูดเป็นพัลวัน "จ...จะไปที่นั่นอีกทำไม ใกล้เช้าแล้วนะยาฮีม เรารีบกลับไปที่อารามกันดีกว่า ท่านคงไม่อยากให้ใครรู้เหมือนกันใช่ไหมว่าท่านก็แอบออกมาเหมือนกับข้า"
ชายหนุ่มเพียงมองร่างเล็กๆ ที่ถูกกดไหล่ตรึงไว้กับต้นไม้ด้วยสายตาเรียบๆ อีกเพียงครู่ แล้วจึงเอ่ยเสียงหนักๆ
"มีคนอยู่ที่กระท่อมของพรานโยเรกับท่าน"
"ไม่มี" เด็กสาวย้ำแม้จะรู้สึกร้อนผ่าวที่ท้ายทอย "ข้าไปแค่คนเดียวจริงๆ"
เธอหลุดเสียงร้องเบาๆ เมื่อมือข้างหนึ่งของยาฮีมล้วงเข้าไปในคอเสื้อ แต่ก็ไม่อาจขยับตัวหนี ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายดึงสายสร้อยติดจี้เปลือกหอยออกมา
"แล้ว 'นี่' ล่ะขอรับ"
"ก...ก็สร้อยของแม่ที่ข้าไปเจอในบ้านของท่านปู่เมื่อก่อนหน้านี้ยังไงล่ะ ข้าแค่เอามาใส่เป็นของดูต่างหน้าแม่เท่านั้น"
"เปลือกหอยอายุกว่ายี่สิบปี จะดูใหม่ขนาดนี้เชียวหรือขอรับ"
"...ก็...ข้าขัดมันให้สะอาดนี่"
"แล้วสายหนังก็ทำให้ไม่มีรอยเปื่อยเลยสักนิดได้น่ะหรือ"
โมโนก้มหน้าลงอย่างยอมจำนน ปล่อยให้องครักษ์ประจำอารามพูดต่อไปด้วยเสียงเย็นชา
"ของเจ้าคนจรเผ่าอัสลานนั่นใช่ไหม"
"อย่าทำอะไรเขานะ...ยาฮีม ข้าขอร้อง" เด็กสาวพยายามพูด "เขาแค่...แค่อยากเอาสร้อยมาให้ข้าเท่านั้นเอง พรุ่งนี้เขาก็จะไปแล้ว"
"ได้ขอรับ" ยาฮีมตอบอย่างว่าง่ายผิดความคาดหมาย แต่ไม่ทันที่เธอจะรู้สึกโล่งอก อีกฝ่ายก็ตั้งเงื่อนไข "ข้าจะสาบานว่าข้าจะไม่ทำร้ายมัน ถ้าท่านสาบานต่อองค์สุริยเทพว่ามันไม่ได้ทำอะไรท่านมากไปกว่าให้สร้อยเส้นนี้เท่านั้น"
"..ม...หมายความว่ายังไง" โมโนกลืนน้ำลายฝืดๆ ก่อนจะแกล้งถาม "ข้าไม่เข้าใจ เขาจะทำอะไรข้ามากไปกว่านั้นล่ะ"
"ทำไมท่านจะไม่เข้าใจล่ะขอรับ" น้ำเสียงของชายหนุ่มยิ่งเย็นเยียบขึ้น "ชายหญิงอยู่ด้วยกันตามลำพังยามวิกาลสองต่อสอง จะทำอะไรได้ท่านก็น่าจะรู้แก่ใจ"
"ท่านกำลังดูถูกข้านะ" เด็กสาวพยายามขึ้นเสียง แต่กลับออกมาเป็นน้ำเสียงแผ่วเบาหวาดหวั่น
"หากจะหาว่าข้าดูถูกท่าน ก็สาบานสิขอรับว่ามันไม่ได้แตะต้องท่านเลย"
โมโนห่อไหล่แน่นจนลำตัวยิ่งดูลีบเล็กลง เงียบอยู่เป็นนานจึงได้หลุดเสียงกระซิบ
"...ข้าทำไม่ได้"
มือที่จับไหล่ของเด็กสาวบีบแน่นขึ้นแวบหนึ่ง และชั่วเสี้ยววินาทีต่อมาความเจ็บจี๊ดก็ร้าวจากแก้มซีกหนึ่งจนแก้วหูลั่นเปรี๊ยะ เธอพบร่างของตนถลาล้มกระแทกพื้นดินชื้นแฉะ ซ้ำยังไม่ทันจะตั้งสติก็มีมือคว้าเข้าที่สายสร้อยที่คอก่อนจะกระชากออกอย่างง่ายดาย ตามมาด้วยเสียงแกรกที่ดังห่างออกไปเหมือนเสียงโยนของกระทบพื้น
พอเหลือบมองไปด้านบนก็เห็นใบหน้าแข็งกร้าวของยาฮีมที่โน้มตัวอยู่เหนือร่าง ดูถมึงทึงจนโมโนถึงกับขดตัวกลม และยิ่งหวาดกลัวขึ้นไปอีกเมื่อไหล่ทั้งสองข้างถูกคว้าหมับ ดึงตัวขึ้นมาสบตากับอีกฝ่ายเต็มๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้
"ท่านตอบข้ามาซิ ว่าข้าควรจะทำยังไงกับมันดี" องครักษ์ประจำอารามถามกราดเกรี้ยว "ในเมื่อตอนนี้ข้ามีสิทธิ์ที่จะฆ่ามันเต็มที่ตามกฎแล้ว"
"...ไม่นะ..." เด็กสาวร้องหวาดๆ "ยาฮีม...อย่าทำอะไรเขาเลย...ถ้าจะลงโทษก็...ก็ลงโทษข้าคนเดียว... เขาไม่ได้... ข...ข้า...ข้าเป็นฝ่ายเริ่มเอง... ข้าเป็นคนขอเขาเอง..."
โมโนประหลาดใจมากเมื่อพบว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าเบิกตาโพลง แต่กลับเหมือนไม่ได้มองเธออยู่เลย และจู่ๆ เขาก็แค่นเสียงออกมาก่อนจะผลักเธอลงไปโดยแรง
"ไอ้ปีศาจ!"
เด็กสาวฟุบลงซบหน้ากับพื้น ศีรษะที่จู่ๆ ปวดแปลบขึ้นมาเป็นสัญญาณเตือนอันเคยคุ้น แต่เธอก็ไม่มีเวลากระทั่งทันเปล่งเสียงเตือนอีกฝ่ายด้วยซ้ำก่อนสติจะถูกฉุดลึกลงไปสู่ก้นบึ้งของจิตใจ...
นางแพศยา หญิงร่านไร้ยางอาย...เป็นกลุ่มคำที่ผุดขึ้นในสมองชายหนุ่มเมื่อเขารู้ว่าเด็กสาวเบื้องหน้าทำอะไรลงไป คำที่ 'พ่อ' เคยใช้ตะคอกใส่หน้าแม่นับครั้งไม่ถ้วน และเขาอยากจะตะคอกใส่หน้าเธอเหลือเกิน ทว่ายาฮีมยังพยายามขบฟัน กำมือระงับอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากภาพปีศาจที่เคยโน้มตัวเหนือร่างของแม่ซึ่งพลันผุดขึ้นในมโนสำนึก แต่ในที่นี้...ปีศาจนั้นกลับเป็นเจ้าเด็กหนุ่มผมแดงปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม และแม่ก็กลับกลายเป็นเด็กสาวที่ดูละม้ายคล้ายกัน เพียงแต่อ่อนเยาว์กว่าเท่านั้นเอง
ร่างในชุดขาวเบื้องหน้าแน่นิ่งไปได้พักหนึ่งแล้วขณะที่เขายืนหอบหายใจแรงๆ รวบรวมสติของตน อย่า...ไม่ใช่...ปีศาจนั่นไม่ได้อยู่ที่นี่ นี่ไม่ใช่แม่...แต่เป็น 'ท่านหญิงโมโน' ต่างหาก เขาไม่มีสิทธิ์ทำร้ายท่านหญิงโมโน ไม่ว่าจะอย่างไรเธอก็คือคนที่เขาต้องปกป้องไว้จนกว่าจะถึงวันแห่งชะตากรรมนั้น...
องครักษ์ประจำอารามกดภาพที่เห็นลงไปในห้วงลึกได้สำเร็จก่อนจะคุกเข่าลงหมายประคองเด็กสาวขึ้นมา
แต่แล้วอีกฝ่ายก็ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นก่อน และหันศีรษะที่เส้นผมยุ่งเหยิงตกลงปรกหน้ามาทางเขา เผยดวงตาที่มืดมิดยิ่งกว่าฟ้ายามรัตติกาลและรอยยิ้มเยาะจนต้องชะงัก
"เจ็บใจสินะ" น้ำเสียงเย็นเอ่ยหยามหยัน "ที่เจ้าไม่ได้ครอบครองร่างนี้"
ยาฮีมเบิกตากว้างอีกครั้ง ริมฝีปากอ้าค้างแต่น้ำเสียงและถ้อยคำใดๆ กลับเหือดหาย
"น่าเสียดายนะ..." เด็กสาวพูดพลางค่อยๆ ใช้มือเสยผมให้กลับเข้าที่ ก่อนจะใช้ชายผ้าคลุมเช็ดคราบดินไปจากใบหน้า "ข้าเคยบอกว่าจะยกให้เจ้าแท้ๆ ...แต่เจ้ากลับไม่ยอมรับเอง นางเลยชิงยกให้คนอื่นก่อนเสียนี่"
ชายหนุ่มอยากถอยไปให้ห่างที่สุด ทว่าเหมือนร่างทั้งร่างถูกตรึงไว้จนกลายเป็นรูปปั้นหินไม่อาจขยับเขยื้อน และได้แต่ฟังเสียงหวานหัวเราะหยันๆ
"แต่นางก็รสนิยมใช้ได้นะ ผู้ชายที่น่ารักนุ่มนวล ใสซื่อเสียขนาดนั้น เทียบกับคนไร้ความรู้สึกอย่างเจ้า...ข้าก็จะเลือกเขาเหมือนกัน ไว้วันหลังข้าคงต้องขอนาง 'ลอง' เขาดูสักหน่อย"
ปลายนิ้วของ 'โมโน' แตะริมฝีปากขององครักษ์ประจำอารามก่อนจะเริ่มไล้
"ทั้งริมฝีปาก..."
เธอเลื่อนสองมือมาแตะที่แผ่นอกของเขา...
"ทั้งอ้อมกอด..."
...ว่าพลางปลายนิ้วของทั้งสองมือก็เริ่มคืบลงมาเป็นทางตามหน้าท้องให้ขนลุกวูบ
"แล้วก็..."
'โมโน' หัวเราะออกมาในทันใดขณะผลักยาฮีมซึ่งนิ่งเฉยอยู่ให้เซไปจนต้องเอามือยันพื้นเป็นหลัก พอเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นอีกฝ่ายมองค้อนก่อนจะเบือนหน้าหนี
"แต่ไม่ใช่เจ้าหรอก คนไร้น้ำยา กลัวหัวหดเป็นเด็กๆ กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง"
ภาพนั้นหวนกลับมาอีกครั้ง ปีศาจตนนั้นกับแม่...กลับกลายร่างเป็นเด็กหนุ่มเผ่าอัสลานกับโมโน และแทนที่จะเห็นสีหน้าเจ็บปวดของโมโน กลับเป็นรอยยิ้มบาดตาของหญิงเบื้องหน้า
"เพราะมัวแต่กลัวนี่ล่ะ...เจ้าถึงต้องเสียนางไป อยากได้จะแย่อยู่แล้วแต่ก็มัวแต่ซ่อนเอาไว้ เจ้าคนขลาด...กระทั่งสิ่งที่อยากได้กลับไม่มีปัญญาจะเอามา พอถูกคนอื่นแย่งไปก็มานั่งโมโหโกรธา เสียอกเสียใจ แต่ยังไม่มีความกล้าที่จะชิงเอามาเป็นของตัวอยู่ดี"
มือของชายหนุ่มค่อยๆ ขยับได้แล้ว เลื่อนไปอย่างลังเลหมายจะแตะร่างเบื้องหน้า แต่ห่างจากไหล่เพียงปลายนิ้วก็หยุดชะงักอยู่เป็นนาน จนกระทั่งได้ยินเสียงเร่งเร้ามาอีกเหมือนรู้ดี
"ดูซิ แค่จะแตะต้องยังได้แต่เงื้อง่า ไม่กล้าจะสัมผัสแค่เส้นผมด้วยซ้ำ"
คำพูดนั้นเป็นเหมือนเชื้อไฟที่เร่งให้ทั้งสองมือของยาฮีมคว้าหมับเข้าที่ไหล่ทั้งสองข้าง พลิกให้เด็กสาวหันหน้ามา สบกับดวงตาดำมืดที่ทั้งยั่วเย้าและบอกความพึงใจ
"กล้ากว่าที่คิด แต่แค่นี้น่ะ--"
คำพูดของ 'โมโน' เงียบหายไปเมื่อชายหนุ่มเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ ปิดความคิดทั้งมวลพร้อมกับดวงตาแต่เปิดปาก แทรกปลายลิ้นเข้าไปล่วงล้ำภายในริมฝีปากของเธอ ส่งความรู้สึกร้อนผะผ่าวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนให้กระจายไปทั่วร่างจนสมองว่างเปล่ามีเพียงสีขาว แต่ขณะกำลังดื่มด่ำกับจูบนั้นอยู่...อีกฝ่ายก็ถอนริมฝีปากเสียกลางคันก่อนจะส่งยิ้มยั่ว
"ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่า 'ไม่ใช่เจ้าหรอก' ถ้าเป็นเขาคนนั้นต่างหากข้าถึงจะยอม แต่กับเจ้า...ถ้าอยากได้ล่ะก็คงมีแต่จะต้องใช้กำลัง--"
พูดไม่ทันจบยาฮีมก็ผลักเด็กสาวที่ไหล่ทั้งสองให้ลงไปนอนบนพื้นดินเสียแล้ว จากนั้นก็รวบข้อมือทั้งสองข้างกดไว้ที่เหนือศีรษะ เธอลอบฉายรอยยิ้มอย่างพึงใจเพียงแวบก่อนจะแกล้งดิ้นรนพอเป็นพิธี ให้ชายหนุ่มต้องออกแรงตรึงร่างไว้กับพื้นแล้วจึงได้ประกบริมฝีปากต่อริมฝีปากอย่างกระหายอยากและคืบไล่ไปยังที่อื่น
ง่ายเหลือเกินที่จะสลัดเสื้อผ้าทีละชิ้นๆ ทั้งจากร่างของตนและร่างเบื้องหน้า...โยนทิ้งไปด้านหลังพร้อมกับสติสัมปชัญญะและเหตุผลที่เหลืออยู่
ง่ายเหลือเกินที่จะโลมไล้ไปทั่วร่างขาวโพลนที่ดูเหมือนไร้ริ้วรอยราคีนั้นโดยปราศจากความละอายใดๆ ในเมื่อมีภาพปีศาจที่เคยกระทำแบบนั้นมาก่อนวนเวียนอยู่ในห้วงคำนึงถึงสามตน
ง่ายเหลือเกินที่จะกลายเป็นปีศาจอีกตนหนึ่งไปเสียเอง...ไร้เหตุผลที่จะต้องลังเลอีกในเมื่อ 'ปีศาจ' นั่นได้ตัวนางไปแล้ว ยังเหลืออะไรที่นางต้องรักษา หรือเขาต้องรักษาไว้ให้นางอีกเล่า จะคนหนึ่งหรือสองคนมันก็ไม่ต่างกันเลยสักนิด
เด็กสาวรู้สึกเหมือนตนเองกำลังลอยเคว้งคว้างท่ามกลางห้วงมืดสีดำ ในบางขณะก็เหมือนกับกำลังหลับ มึนงงเหลือเกินว่าตนเป็นใครหรือกำลังทำอะไรอยู่ แต่ในบางขณะก็เหมือนไม่ได้หลับ ทว่าชาไร้ความรู้สึกไปทั้งร่าง แม้นในใจจะสำนึกรู้และกระวนกระวายว่ายาฮีมรู้เรื่องของเธอกับพี่คนจรเข้าแล้ว
ตอนนี้เธอเป็นอะไรไปกันแน่ จะหลับก็ไม่ได้หลับ จะตื่นก็ไม่ตื่น กลัวเหลือเกินว่ายาฮีมจะทำอะไรต่อไป คงไม่ใช่พาเธอกลับอารามและแจ้งพระเถระให้จับกุมพี่คนจรหรอกนะ
"ไม่ใช่หรอก" เสียงอันคุ้นเคยตอบหยันๆ "เรื่องโง่ๆ แบบนั้น ทำไปทุกอย่างก็พังน่ะสิ"
โมโนเหลียวมองไปทั่วในความมืด แต่กลับไม่พบใบหน้าของเจ้าของเสียงเลย
"เจ้าอยู่ที่ไหน"
อีกฝ่ายหัวเราะน้อยๆ
"แหมๆ ตอนนี้ข้ากำลังทำเรื่องที่ใช้สมาธิมากนะ แค่แบ่งจิตส่วนหนึ่งมาคุยกับเจ้านี่ก็เหนื่อยเพิ่มจะแย่แล้ว"
เด็กสาวเริ่มใจคอไม่ดี
"หมายความว่ายังไง...นี่เจ้าคิดจะทำอะไร"
"ก็หาทางเอาตัวรอดให้เจ้า กับพี่คนจรที่รักของเจ้ายังไงล่ะ"
"...ยังไง"
"ก็...แลกเปลี่ยนกันนิดหน่อย ถ้าเจ้ายอมเอาตัวเข้าแลกให้เขาเชยชมอีกสักคน...เจ้านั่นก็มีชนักปักหลังห้ามไม่ให้ปากโป้งเหมือนกัน"
"ทำอย่างนั้นไม่ได้นะ!!" โมโนหน้าร้อนวูบขึ้นทันทีด้วยความรู้สึกทั้งโกรธทั้งอาย เรียกเสียงหัวเราะจากเด็กสาวอีกคนหนึ่ง
"อะไรกัน เหนียมอายไม่เข้าเรื่อง ก็เพิ่งจะทำมาหมาดๆ แท้ๆ ไม่ใช่หรือ"
"ก็นั่นเป็นเรื่องที่ทำกับใครเขาไปทั่วได้ที่ไหนกัน!" โมโนโต้กลับ "เขาเป็นพี่ชายของข้า! แล้วข้าก็ไม่ใช่ผู้หญิงเหลวแหลกนะ จะได้ทำเรื่องต่ำๆ แบบนั้น--"
"พี่ชาย...มันก็แค่ผู้ชายคนนึงที่คลอดมาจากท้องผู้หญิงคนเดียวกันกับเจ้านั่นล่ะ ส่วนตัวเจ้า...ปากบอกปาวๆ ว่าไม่ใช่ผู้หญิงเหลวแหลก...แต่ก็คิดจะกลับไปเป็น 'ภิกษุณี' ในสภาพแบบนี้นี่น่ะ"
คำย้อนนั้นทำเอาเด็กสาวพูดไม่ออกทันควัน และอีกฝ่ายก็ยิ่งสำทับเมื่อเห็นท่าที
"เอาสิ เจ้าจะแหกปากร้องให้คนอื่นมาช่วย ปล่อยให้เจ้านั่นเอาเรื่องของเจ้ากับเขาไปฟ้องพระเถระ ให้เขาถูกย่างสดตายต่อหน้าต่อตาเจ้าก็ตามใจ"
"...ไม่นะ..." โมโนเอ่ยอย่างหวาดๆ "...ต้องมีทางอื่นสิ...ยาฮีมไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล ข้าจะขอร้องเขาให้ปล่อยพี่คนจรไป...ส่วนตัวข้าจะยอมอยู่ที่อารามดีๆ...จะไม่คิดหนีไปไหนอีกแล้ว..."
"มีเหตุผล" อีกคนหนึ่งแค่นเสียง "เจ้าคนมีเหตุผลนั่น...ป่านนี้ทำอะไรกับร่างของ 'เรา' ไปถึงไหนต่อไหนแล้ว"
เด็กสาวยิ่งฟังยิ่งร้อนรน
"ปล่อยข้าออกไปนะ!"
"ปล่อยอยู่แล้ว..." อีกฝ่ายตอบอย่างใจเย็น "ข้าก็ไม่ได้พิศวาสเจ้านั่นเท่าไรหรอก คนรุนแรงพรรค์นั้นสู้ให้เจ้ารับหน้าแทนดีกว่า จะดิ้นจะร้องยังไงก็ตามใจเจ้า ถ้าไม่นึกถึงทางรอดของพี่คนจรที่รักของเจ้าเลยล่ะก็นะ"
และแล้วพร้อมกับเสียงหัวเราะบาดหูนั้น...โมโนก็รู้สึกเหมือนตนเองถูกกระชากขึ้นมาโดยแรง คล้ายทะลึ่งพรวดขึ้นจากของเหลวหนาหนักมาสู่ผิวน้ำ
พ้นจากห้วงดำมืดพร้อมกับผัสสะที่ค่อยๆ
กลับคืน
แผ่นหลังรองรับด้วยผ้าคลุมเย็นชื้น
แต่ร่างกายกลับสัมผัสอากาศหนาวเยือกสลับกับผิวเนื้อของอีกร่างที่ร้อนผ่าวจนขนลุกเกรียว...และมือหยาบกร้านที่ซอกซอนเคล้นคลึงอกอย่างไร้ความเกรงใจ
ข้อมือทั้งสองที่ทาบอยู่เหนือศีรษะถูกรัดแน่นจนมือชา
กระดิกไม่ได้กระทั่งปลายนิ้วเดียว
ใบหน้าของร่างที่โถมน้ำหนักลงมานั้นเคลียอยู่ที่ซอกคอให้รู้สึกขยะแขยง
แม้นจะยังไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายก็ตามที
ยาฮีม...ไม่นะ...อย่า...อย่าทำแบบนี้กับข้าเลย...
เด็กสาวพยายามร่ำร้อง
แต่ริมฝีปากกลับเผยอค้างไร้เสียง
แขนขาที่สั่งให้ขยับก็หนักอึ้งไม่ยอมเขยื้อน
เธอรู้ตัวว่าตนเองเสียรู้
'อีกคนหนึ่ง'
เข้าเสียแล้ว
ปากบอกว่าจะปล่อยเธอ
บอกว่าจะดิ้นจะร้องอย่างไรก็ตามใจ
แต่กลับไม่คลายการควบคุมร่างเธออย่างสมบูรณ์
ให้เธอรับรู้สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นแต่ขัดขวางไม่ได้เลยต่างหาก
พี่คนจร ... ภาพใบหน้าของเด็กหนุ่มที่เพิ่งยิ้มแย้มอยู่ด้วยกันเมื่อครู่ผุดขึ้นในห้วงสำนึก ทั้งอ้อมกอดกับจุมพิตอ่อนโยนที่ยังติดตรึงในความทรงจำยิ่งบีบน้ำตาให้รินหลั่ง เหมือนความฝันแสนงามทั้งมวลพังทลายลงเบื้องหน้า หากเป็นเช่นนี้ก็คงไม่มีโอกาสที่ทั้งสองจะไปใช้ชีวิตร่วมกันได้อีกแล้ว ต่อให้ยาฮีมไม่อาจทำอันตรายคนจรจริงๆ อย่างที่อีกคนหนึ่งบอกไว้ก็ตามที
เคราะห์ดีที่ความเมตตาอย่างเดียวที่อีกคนหนึ่งยังเหลือไว้ให้คือให้เธอหลับตาลงได้ เพื่อที่จะไม่ต้องเห็นภาพบาดตาเบื้องหน้า และเด็กสาวก็ยอมจำนน ปิดกั้นสายตา ปิดกั้นสมองไม่ให้ตีความจากผัสสะทางกายทั้งมวล หลอกตนเองว่านี่เป็นเพียงฝันร้ายที่จะผ่านไปในที่สุด
ง่ายเหลือเกินที่จะลืมเลือนว่าคนที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นใคร ลืมทั้งคำว่าแม่...ท่านหญิงโมโน...น้องสาว ลืมไปจนเหลือแค่คำว่า 'ผู้หญิงคนหนึ่ง' แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่สะสวยน่าจับต้อง น่าครอบครอง มีเลือดเนื้อ...มีร่างกายที่จะให้ความอบอุ่นกับเขาได้
ง่ายเหลือเกินที่จะปล่อยให้สมองว่างเปล่า...ปล่อยให้มีแต่สัญชาตญาณที่ควบคุมร่างให้ตอบสนองความต้องการที่ถูกเก็บกักไว้เท่านั้น
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากซอกคอละมุน เลื่อนไปที่ใบหน้าของอีกฝ่าย หมายลิ้มรสหวานจากริมฝีปากบางอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นดวงหน้านั้นก็มีอันต้องชะงักค้าง
เด็กสาวหลับตานิ่ง ปล่อยน้ำตาให้รินอาบแก้มบวมแดงเป็นสายพร้อมเสียงสะอื้นเงียบๆ สีหน้าปวดร้าวเหมือนแม่ที่ถูกปีศาจตนนั้นทำร้าย ทำให้เขานึกได้ว่าหลายสิ่งช่างง่ายดายเหลือเกิน...บางสิ่งช่างยากเย็นเหลือเกิน...และมีสิ่งหนึ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
ง่ายดายเหลือเกินที่จะทำลายเธอให้ย่อยยับลงไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบเดียว
ง่ายดายเหลือเกินที่จะทำลายขอบเขตของความเป็นองครักษ์อารักขา...และความเป็นพี่ชายร่วมสายเลือด ประพฤติตนเยี่ยงสัตว์ที่แยกแยะออกเพียงว่าตนเป็นเพศผู้และนี่เป็นเพศเมียที่ครอบครองได้เท่านั้น
แต่ยากเย็นเหลือเกินที่จะคาดหวังการให้อภัย รอยยิ้มและน้ำใจที่เธอเคยมีให้ แม้นเขาจะเพิ่งเห็นค่าของพวกมันขึ้นมาในวันนี้ก็ตาม
...และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกลับคืนร่างเป็นมนุษย์หลังจากกลายเป็นปีศาจไปครั้งหนึ่ง เป็นไปไม่ได้ที่จะหมุนย้อนให้ทุกสิ่งกลับมาเป็นอย่างเดิมหากก้าวข้ามเส้นที่ไม่ควรข้ามไปแล้ว...
รอยแผลบนอกที่เพิ่งกรีดไปในวันนี้เจ็บแปลบขึ้น และเขาก็ก้มลงไปเห็นเลือดสีคล้ำในความมืดค่อยๆ หยาดลงมา ก่อนจะหยดลงไปตัดกับผิวสีขาวของร่างน้อยข้างใต้ดั่งคำเตือนจากตราบาป
เด็กสาวลืมตาขึ้นอย่างประหลาดใจเมื่อจู่ๆ เงื้อมมือใหญ่คลายจากข้อมือทั้งสอง ดวงตาของชายเบื้องหน้าสบกับเธอเพียงชั่วแวบ ก่อนที่เขาจะรีบเบือนหน้าหลบสายตาอย่างละอาย มือเลื่อนไปคว้าชายผ้าคลุมมาตลบคลุมร่างเปลือยเปล่าของเธอก่อนจะผละออกไปหยิบเสื้อมาสวมบนร่างของตน แม้กระนั้นเธอก็ยังทันเห็นรอยแผลจากของมีคมทั้งเก่าใหม่ที่กระจายไปทั่วอก ลำตัว และต้นแขนของอีกฝ่ายที่ถูกปิดบังไว้ใต้เสื้อกับชุดเกราะเสมอ
โมโนหลับตาลงและถอนใจ น้ำตายังคงรินไหล จะจากความรู้สึกใดบ้างเธอก็บอกไม่ถูก ทว่าอย่างน้อยก็โล่งอกที่รู้สึกได้ว่าอำนาจของอีกคนหนึ่งค่อยๆ คลายไปช้าๆ
เด็กสาวรออยู่อีกครู่หนึ่งให้มือหายชาจึงได้ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง มือกอดแน่นที่สองแขน กระชับผ้าคลุมแนบตัวเหมือนเป็นเพียงที่กำบังเดียวที่เหลืออยู่ ลุกขึ้นก้าวซวนเซไปยังกองชุดสีขาวของตนที่ตอนนี้กลับชื้นน้ำค้างและเปื้อนเปรอะคราบดิน
ตัวเธอเองก็เกือบมีสภาพเหมือนชุดสีขาวนี้...ไม่สิ...เลวร้ายกว่าแล้วสินะ...เปรอะเปื้อนมลทินที่โสโครกยิ่งกว่าและไม่อาจชะล้างออก
...หรือว่าเธอตกอยู่ในสภาพนั้นอยู่แล้วกันแน่...
"เพราะข้า...ไม่บริสุทธิ์แล้วใช่ไหม" โมโนเอ่ยถาม สายตาเลื่อนลอยเพียงจ้องตรงไปเบื้องหน้า "...เพราะข้าไม่เหลือสิ่งที่ต้องรักษาแล้วใช่ไหม...ท่านถึงได้กล้าทำแบบนี้"
"ข้า...ขออภัยจริงๆ ขอรับ" เสียงของยาฮีมดังแผ่วๆ ให้เธอหันไปเห็นด้านหลังของเขาที่แต่งตัวเสร็จแล้ว
"ขออภัย...คำว่าขออภัยช่วยอะไรได้หรือ" เด็กสาวหันกลับมามองชุดขาวยับยู่ยี่ที่ตนถืออยู่ "ตอนที่ท่านฆ่าท่านปู่โยเรไป...คำว่าขออภัยทำให้ท่านปู่ฟื้นกลับมาได้ไหม"
ไม่มีเสียงตอบจากอีกฝ่าย และเธอก็แค่นเสียงต่อไป
"...แล้วจะขออภัยไปทำไม...ในเมื่อพูดไปมันก็ล้างรอยมือที่ติดเต็มตัวข้าไม่ได้ หนำซ้ำจริงๆ ท่านก็คงไม่คิดว่าตัวเองต้องขออภัยหรอก ท่านผิดตรงไหน...คนผิดคือข้าต่างหาก
"...ใช่สิ...ข้าผิดเอง ผิดที่ข้ารักเขา...ผิดที่ข้าให้สิ่งที่ไม่ควรให้กับเขา แต่...แต่ข้าก็เป็นแค่ผู้หญิงคนนึงนี่ กับคนที่รัก...จะ...จะไม่อยากให้สิ่งที่สำคัญที่สุดของตัวเองไปได้ยังไง...
"คนผิดคือนาง... ข้ารู้ว่านางยั่วยุท่าน แต่ในเมื่อนางเป็นส่วนหนึ่งของตัวข้า...ความผิดของนางก็เป็นความผิดของข้า ข้านี่แหละที่เป็นคนผิดคนเดียว...เป็นคนวอนหาเรื่องทั้งหมดเอง
"เห็นไหม...ท่านไม่ผิด...ไม่ผิดเลยสักนิด...จะมาขออภัยกับเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดไปทำไม ข้าไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วนี่ ท่านจะทำลงไปหรือไม่มันก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย!!"
"ท่านหญิง--"
"ไม่ต้อง! ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าท่านหญิงอีกแล้ว! ตอนที่ท่านคิดจะทำแบบนั้นกับข้า...ท่านยังเห็นข้าเป็นท่านหญิงอยู่อีกหรือ...ไม่เลย! ท่านคงไม่แม้แต่จะคิดสักนิดด้วยซ้ำว่าอย่างน้อยเลือดในตัวข้าครึ่งนึงก็เป็นสายเลือดเดียวกับท่าน!!"
โมโนทรุดลงคุกเข่า ซบหน้ากับชุดสีขาวในอ้อมแขนอย่างไม่หวั่นเกรงว่าใบหน้าจะเปื้อนไปด้วยก่อนจะปล่อยโฮอย่างห้ามไม่อยู่อีกต่อไป
"...สัตว์..." ถ้อยคำนั้นหลุดออกมาอย่างปากของยาฮีมอย่างแผ่วเบาที่สุด เป็นการประณามตนเองที่เขานึกว่ายังหนักหนาน้อยไปด้วยซ้ำ ก็โมโนควรจะก่นด่าเขาไม่ใช่หรือ ก่นด่าให้รุนแรงยิ่งกว่านี้...เรียกเขาว่าปีศาจร้าย สัตว์นรก ผีห่าอสูรเหวที่ไหนก็ได้ที่สาสมกับตัวเขา ไม่ใช่ร้องห่มร้องไห้ เอาแต่โทษว่าตนเองทั้งๆ ที่เป็นผู้ถูกกระทำแท้ๆ
องครักษ์ประจำอารามหยิบดาบที่ตนเองวางทิ้งไว้ขึ้นมากำด้ามเสียแน่น ในใจร่ำๆ อยากชักดาบนั้นออกมาเชือดคอตนเองเสียให้รู้แล้วรู้รอด และเขาก็ก้าวมาคุกเข่าเบื้องหน้าเธอ วางดาบลงก่อนจะกลั้นใจพูดเรียบๆ
"หากท่านเห็นว่าข้าสมควรตาย...ข้าก็พร้อมจะตายตามที่ท่านต้องการขอรับ"
เด็กสาวก้มหน้านิ่งไม่ตอบ เพียงปล่อยหยดน้ำตาให้ร่วงลงบนชุดสีขาว
"ข้าจะไปสารภาพกับพระเถระ ให้พวกเขาลงโทษข้าตามกฎ--"
"พร้อมๆ กับพี่คนจรน่ะหรือ..." โมโนพึมพำขัดขึ้น "ดีนี่...ท่านจะได้พาเขาไปตายด้วย ทิ้งข้าไว้ให้ตายตามไปทีหลัง ตายกันให้หมดทั้งสามคน"
"หากท่านไม่ต้องการให้ข้าบอกเรื่องของคนจร...ข้าก็จะไม่บอก" ยาฮีมตัดสินใจพูดช้าๆ "แต่ตามหน้าที่...ข้าไม่อาจปล่อยให้เขายุ่งเกี่ยวกับท่านมากไปกว่านี้ได้"
เด็กสาวผุดลุกขึ้น กลับหลังหันให้กับชายหนุ่ม ก้าวยาวๆ ไปเก็บสร้อยเปลือกหอยที่ถูกโยนทิ้งไปในทีแรกขึ้นมา
"หน้าที่...ถึงขั้นนี้ท่านยังคิดจะเอาหน้าที่มาอ้างอีกน่ะหรือ" เธอกลับพูดด้วยเสียงที่คุกรุ่นขึ้นเมื่อเห็นรอยร้าวบนเปลือกหอย "ก็ดี...ไล่ให้เขาไปแล้ว จะได้เหลือแต่ข้ากับท่านที่รู้ จากนั้นท่านจะฉวยโอกาสล่วงเกินข้ายังไงก็ได้ ไม่สิ...เผลอๆ ข้าจะเป็นคนเสนอตัวให้ท่านเองด้วยซ้ำ ก็ข้าไม่มีอะไรจะต้องเสียอีกแล้วจริงๆ นี่นา จะนอนกับเขาหรือนอนกับท่าน...ถ้าแค่คลายเหงาชั่วครั้งชั่วคราวมันก็เหมือนๆ กันนั่นล่ะ"
"ท่านหญิงโมโน!" องครักษ์ประจำอารามเรียกด้วยเสียงหนักๆ "ใกล้เช้าแล้วนะขอรับ ข้าว่าท่านเลิกพูดจาไร้สาระ แต่งตัวแล้วรีบกลับอารามก่อนดีกว่า"
โมโนหันขวับกลับมามองด้วยสายตาแข็งกร้าวก่อนจะโยนชุดสีขาวลงไปบนพื้นระหว่างทั้งสอง
"ได้ แต่งตัว ในเมื่อท่านเป็นคนถอดให้ข้า...ก็สวมให้ข้าด้วยแล้วกัน!"
ยาฮีมจ้องมองอีกฝ่ายนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปราดเข้าไปคว้าไหล่ของเด็กสาว ดึงตัวไปติดกับต้นไม้อีกครั้ง บังคับตนเองให้ลืมเลือนความละอายไป สบตากับนัยน์ตาที่เริ่มสะกดแววหวาดกลัวไม่มิดเมื่อปุบปับเขาก็แสดงท่าทีคุกคามยิ่งกว่าเดิม
มือหนึ่งเลื่อนไปปิดปากอุดเสียง ก่อนที่อีกมือจะกระชากผ้าคลุมผืนเดียวที่ปกปิดร่างบอบบางโยนทิ้งไปบนพื้น เด็กสาวสะดุ้งสุดตัว มือเล็กๆ ทั้งสองพยายามผลักเขาออกไป แต่กลับถูกตะปบที่ข้อมือ ตรึงไว้อย่างง่ายดาย ใบหน้าของชายหนุ่มเลื่อนเข้ามาจนปลายจมูกแทบแตะกัน บังคับให้ดวงตาดำขลับที่เบิกกว้างต้องสบด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้
"ถ้าท่าน...ไม่สิ...ถ้าเจ้าไม่อยากให้ข้าเรียกว่าท่านหญิง...ข้าไม่เรียกก็ได้ ถ้าไม่อยากให้ข้าคิดว่าเจ้าเป็นน้องสาว...ข้าก็ไม่คิดได้ง่ายๆ เหมือนกัน ง่ายนิดเดียวเอง ลองได้ลืมไปแล้วสักครั้ง...ครั้งต่อๆ ไปก็ยิ่งลืมง่ายขึ้น...ยิ่งทำได้มากขึ้น อยากให้ข้าห้ามตัวเองไม่อยู่จริงๆ ไหมล่ะ"
โมโนหลับตา สั่นศีรษะแรงๆ น้ำตาไหลลงมาเปียกมือของชายหนุ่มที่ปิดปากอยู่ และเขาก็ยิ่งทำเสียงลำพองเหมือนผู้ชนะ นึกปรามาสอีกฝ่ายที่ทำเป็นปากเก่ง ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้นกลัวตัวสั่นจะแย่อยู่แล้ว
"ฟังนะ ถ้าเจ้าไม่ยอมแยกจากไอ้คนเถื่อนนั่น...ข้าจะข่มขืนเจ้า...จากนั้นก็ยอมตายบนกองฟอนเดียวกับมันให้เจ้าดูให้เต็มตา!"
เขายิ่งบีบข้อมือเปราะบางแรงขึ้นขณะถ้อยคำหยาบช้าน่ารังเกียจที่สุดแม้ในหูตนเองถูกสำรอกจากปาก
"ได้ยินไหม! ข้าจะข่มขืนเจ้า! จะย่ำยีเจ้าให้ยับเยินไม่เหลือดี! จะลบล้างสัมผัสที่เจ้าอยากเก็บไว้จากมันไปจนหมด! ให้ภาพไอ้ร่างโสมมที่มีแต่รอยแผลเป็นนี่เข้าไปแทนที่ภาพไอ้คนเถื่อนที่เจ้ารักนักคนนั้นซะ!! แล้วข้าก็จะลากมันไปลงนรกพร้อมๆ กัน!!"
เด็กสาวยิ่งสะอื้น เนื้อตัวสั่นเทาเป็นลูกนก แผลที่อกของชายหนุ่มปวดแปลบกับการหอบหายใจหลังตะคอก เมื่อปล่อยสองมือออกจากอีกฝ่าย ร่างของโมโนก็รูดลงกับลำต้นไม้ไปซบหมดเรี่ยวแรงอยู่กับดิน คอพับตกปล่อยให้ผมปรกหน้า สองมือยกขึ้นปิดหูเหมือนปฏิเสธจะฟังต่อ ศีรษะไหวโคลง น้ำตารินหลั่ง
ยาฮีมยกมือขึ้นแตะอกของตน สัมผัสเลือดที่ยิ่งซึมออกจากแผลใหม่ผ่านเสื้อสีดำ เขาแทบกระชากเสื้อออกให้พ้นตัวโดยไม่สนด้วยซ้ำว่าจะขาดหรือเปล่า ก่อนจะคุกเข่าลง มือบีบที่กรามบังคับให้เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองตน
"เจ้าก็เห็นชัดเจนแล้วใช่ไหม รอยของคนบาปนี่...ข้าออกมากรีดมันเองกับมือทุกคืน วันละรอย...สองรอย ตั้งแต่วันที่เจ้าด่าว่าไอ้ฆาตกรคนนี้ว่าเป็นปีศาจร้ายไร้หัวใจนั่นแหละ! ข้าไม่สนหรอกถ้าจะต้องเจ็บปวดยิ่งกว่านี้! ถึงต้องตายก็ไม่สน! เจ้าเองก็ลองมาลิ้มรสความเจ็บปวดแบบนี้บ้างสิ! ให้ข้าเอาแผลเป็นที่ลบล้างไม่ออกยิ่งกว่านี้ไปประดับบนตัวเจ้าบ้างดีไหม!!"
พอชายหนุ่มคลายมือ โมโนก็ทิ้งศีรษะลงบนพื้น ขดตัวร้องไห้เสียงดังเหมือนเด็กเล็กๆ เขาทำเป็นหูทวนลมเสียต่อเสียงสะอื้นที่กรีดใจได้เจ็บยิ่งกว่าดาบซึ่งกรีดร่างอยู่ทุกๆ วัน ก้าวยาวๆ ไปหยิบชุดสีขาวที่กองอยู่เช่นกันขึ้นมา ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยืนถือมันค้ำร่างของอีกฝ่าย พูดด้วยเสียงที่ถูกกดให้เรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้
"แต่ถ้าตอนนี้ท่านยังสำนึกได้ว่าตัวเองเป็นท่านหญิง ยอมทำตามที่ข้าบอก ข้าก็จะไม่ทำอะไรท่านหรือเจ้าคนจรนั่น ตอนนี้สวมเสื้อผ้าเสียดีๆ แล้วกลับอารามกันก่อน"
เด็กสาวบังคับตนเองให้หยุดร้องไห้ ลุกขึ้นนั่งช้าๆ ยกมือขึ้นดึงชุดสีขาวไปจากมือของเขาโดยไม่ยอมเงยหน้า ก่อนจะลุกขึ้นยืนโงนเงน พอองครักษ์ประจำอารามจะเข้าไปประคองก็เอ่ยห้วนๆ แม้เสียงจะยังสั่นเครือ
"อย่าเอามือสกปรกมาแตะข้า"
คำพูดนั้นส่งความปวดให้ร้าวลึกในใจ แต่ก็เหมือนก้อนหินตกกระทบผิวน้ำ สร้างวงกระเพื่อมเพียงครู่เดียวส่วนหินก็กลับจมลงไป ต้องใช้อีกเป็นพันเป็นหมื่นก้อนถึงจะถมห้วงน้ำลึกให้เต็มได้
เขามองเธอก้าวโผเผหลบไปด้านหลังต้นไม้เพื่อแต่งตัว แล้วตนเองจึงได้รีบใส่เสื้อ อีกสักพักเด็กสาวในชุดสีขาวเปื้อนคราบดินก็เดินก้มหน้าออกมาหยิบผ้าคลุมที่เขากระชากทิ้งไปมาคลุมทับอย่างลวกๆ จากนั้นก็แค่ปรายตาช้ำแดงมองเขาเพียงแวบก่อนจะก้มหน้านิ่ง
"ไปกันเถอะขอรับ" องครักษ์ประจำอารามเอ่ยเรียบๆ แล้วโมโนจึงได้เดินผ่านหน้าเขาไปโดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้เขาตามไปด้านหลัง และชายหนุ่มก็พูดต่อเมื่อนึกขึ้นได้ "พรุ่งนี้ เราต้องมาคุยกันอีกทีนะขอรับ หากไม่อยากให้เรื่องของท่านกับคนจรไปถึงพระเถระ"
"......ข้ารู้" เด็กสาวเพียงตอบรับเบาๆ และก้าวต่อไปไม่ยอมหยุด ไม่ปริปากอีกเลยตลอดทางกระทั่งล่วงเส้นทางลับกลับไปถึงอาราม
Note:
ผมตั้งใจมานานแล้วว่าจะเขียนเรื่องในอดีตของพี่น้องทั้งสองคนนี้ตั้งแต่เด็ก
ไปจนถึงการเผชิญหน้าของทั้งสองคนในครั้งต่างๆ
ที่อยู่นอกสายตาของคนจร
แต่ก็เพิ่งได้เขียนตอนนี้เป็นตอนแรกหลังจากขยายเนื้อเรื่องหลักของบทที่
35 นี่เอง
สังเกตได้ว่าตอนนี้ไม่มีชื่อภาษาไทย
เพราะเป็นตอนที่ผมไม่อาจหาคำภาษาไทยที่ตรงกับคำว่า
Ravished
ซึ่งมีทั้งความหมายตรงที่ผู้อ่านน่าจะรู้หรือค้นได้ไม่ยาก
อีกความหมายของคำนี้แปลว่า
"ต้องมนต์"
หรือ "ถูกผูกไว้ด้วยมนต์"
ซึ่งก็เข้ากับยาฮีมที่ต้องมนต์สะกดของโมโนอีกคนหนึ่ง
และเข้ากับการที่ทั้งโมโนกับยาฮีมต่างก็เป็นผู้ถูกทำให้สูญเสีย
โมโนเสียความเชื่อใจในยาฮีม
และยาฮีมก็สูญเสียความลับที่ตนเองปิดบังไว้เรื่องความรู้สึกที่ไม่อยากให้โมโนรู้
และความเชื่อใจที่โมโนเคยมีให้
ทั้งหมดเป็นเพราะการกระทำของยาฮีมแท้ๆ
ถึงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าโมโนอีกคนหนึ่งมีส่วนยุด้วยเหมือนกัน
ที่เนื้อหาในตอนนี้นับว่าแรงทีเดียว
เพราะผมต้องการจะแสดงให้เห็นถึงลักษณะของโมโนอีกคนหนึ่งที่
"เพื่อเป้าหมายแล้วไม่เลือกวิธีการ
และพร้อมจะหลอกใช้ได้ทุกคน"
นอกจากนี้ที่สำคัญกว่าก็คือจะให้เป็นบททดสอบของยาฮีมว่าเขาจะจมดิ่งลงไปจนกู่ไม่กลับ
หรือจะสามารถกลับตัวได้ในวินาทีสุดท้าย
จึงต้องพัฒนาฉากไปจนถึงจุดที่หมิ่นเหม่กับคำว่า
"เกือบ"
ที่สุด
ก่อนที่เขาจะได้สติขึ้นมา
เรื่องน่าแปลกในขณะที่คิดตอนนี้คือ
ในทีแรกที่ยาฮีมขอโทษนั้น
ผมตั้งใจจะให้โมโนฟังเงียบๆ
ไม่พูดอะไร
ไม่ต่อว่า
ถึงเธอจะรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจ
แต่พอถึงเวลาเขียนจริงๆ
โมโนกลับไม่ยอมเงียบไปกับผม
คำพูดของเธอหลั่งไหลออกมาเองทั้งตัดพ้อต่อว่าประชดประชัน
จนทำให้ยาฮีมต้องเล่นบทโหดตะคอกใส่
และยิ่งทำร้ายทั้งตนเองและโมโนมากขึ้นไปอีก
(คาดว่าน่าจะมีคนอ่านที่ไม่ชอบยาฮีมในตอนนี้มากขึ้นตามไปด้วย
แต่ผมก็ไม่ได้เกลียดเขานะครับ
ถ้าเกลียดคงทำให้กลายเป็นตัวร้ายสุดๆ
ไปแล้ว)
ในตอนนี้ผมเริ่มเขียนไซด์สตอรี่ตอนที่
2
ซึ่งจะเป็นตอนต่อจากตอนแรกนี้ไว้แล้ว
แต่ก็ยังไม่เสร็จ
หากเสร็จเมื่อไรจะลงเว็บให้อ่านกันต่อครับ
ขอขอบคุณ พี่
Dark Master, คุณ Runaway Guy
ผู้อ่านจากบอร์ดพ็อคเก็ท,
คุณ Blue Mouse
ผู้อ่านจากบอร์ดเจเจ
และคุณ Double
ผู้อ่านจากบอร์ดพ็อคเก็ทสำหรับคอมเมนต์และข้อเสนอแนะครับ