ตำนานคนจนผู้เสียศูนย์

A Tale of a Lost Money Wanderer

 

 

 

* นี่เป็นแฟนฟิกชั่นที่เขียนขึ้นโดยไม่ได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของเรื่องแต่อย่างใด เอ๊ะ แล้วจะบอกทำไมเนี่ย

 

 

 

ยามรุ่งอรุณของวันนี้ บานประตูอารามถูกเปิดออกอย่างเร่งร้อนรุนแรงผิดจากที่เคยเป็นมา

 

ชายหนุ่มในชุดเกราะอ่อนสวมหน้ากากรูปนกเพนกวินก้าวนำเข้ามาก่อน ตามหลังมาด้วยชายอุ้ยอ้ายในชุดขาว

 

ร่างท้วมนั้นไว้หนวดเรียวใต้จมูกน่าแปลกซึ่งมีสีแดง ใบหน้าเขามีสีขาว มือซีดกลมเกลี้ยงไม่ต่างจากใบหน้าขยับขึ้นเกาคางมนที่กลืนเป็นเนื้อเดียวกับคอ ประหลาดหนักยิ่งกว่านั้นคือผิวกายเขาผิดแผกจากคนปรกติ ...เป็นสีฟ้า

 

ในอดีตเขาเคยรับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงดูแลเด็กแว่นซื่อบื้อที่ระดับสมองอยู่แค่ ป.4 ตลอดกาลในประเทศเกาะทางโพ้นทะเลแห่งหนึ่ง ก่อนจะเกิดความเบื่อหน่ายบ่ายหน้าเข้าสู่ทางธรรม จวบจนไต่เต้าขึ้นมาเป็นเจ้าอารามแห่งนี้ได้ในที่สุด

 

"พระเถระโดราเอมอน"

 

ยาฮู องครักษ์หนุ่มหน้ากากเพนกวินที่นำเข้ามาก่อนเดินกลับมาเรียกหลังจากสอบถามเหตุการณ์จากองครักษ์คนอื่นๆและตรวจตราสภาพในอารามเสร็จสิ้น

 

"ศพล่ะ" พระโดร่าถามเสียงขรึม ซึ่งถ้าดูจากหน้าแมวของท่านแล้ว ฟังให้ตายยังไงก็ไม่ขรึม

 

"หายขอรับ" ยาฮูตอบ

 

"แล้วแผนที่ กับดาบ.."

 

"ยังอยู่ที่เดิมขอรับ"

 

ท่านโดร่าถอนหายใจโล่งอก

 

"อ้อ ยังมีที่หายไปนอกเหนือจากศพด้วยขอรับท่าน" ยาฮูกล่าวต่อเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ "รองเท้าแตะสามคู่ กล่องใส่เงินบริจาค แล้วก็อาหารเมื่อวานที่เหลือในตู้กับข้าวขอรับ"

 

ท่านโดร่ายัวะขึ้นมาทันควัน รองเท้าแตะนั่นช่างมันเถอะ แต่เงินบริจาคหายเท่ากับโครงการต่อเติมอารามเป็นอันต้องยืดออกไปอย่างไม่มีกำหนด ...เหนือสิ่งอื่นใด โดรายากิที่อุตส่าห์เก็บไว้ตั้งใจว่าวันนี้จะเอามากิน

 

"หมายความว่ายังไง ไบคัน! ทำไมอะไรต่อมิอะไรในอารามมันถึงโดนยกเค้าไปทั้งกระบิแบบนี้" เจ้าอารามสะบัดหัวขวับ มองไปทางองครักษ์ผู้ทำหน้าที่เฝ้ายามเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา "ดาบศักดิ์สิทธิ์กับแผนที่เจ้าเฝ้าได้ไม่หาย แต่ไหงอย่างอื่นหายเกลี้ยงเลยฮึ ช่วยตอบข้ามาหน่อยได้มั้ย"

 

ชายหนุ่มนามไบคันยืนเหงื่อแตกพลั่ก กล่าวอึกอักตะกุกตะกัก

 

"คือ...เมื่อวานตอนประมาณตีสาม ข้าเกิดหิวขึ้นมาจนทนไม่ไหว จำต้องหลบออกไปหาของกิน บางที...เจ้าหัวขโมยอาจแอบเข้ามาตอนนั้น.."

 

"อ๋อ เจ้านี่เองที่กินโดรายากิในตู้กับข้าวจนหมดเลย" ท่านโดร่าฉีกตาดุร้ายเข้าใส่

 

"ไม่ ไม่ใช่ ข้าไม่ได้แตะต้องมันเลย ข้ากินมาม่าต่างหาก แล้ว.." ไบคันเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังชั่งใจว่าควรจะพูดดีรึเปล่า

 

"พูดมาให้จบ"

 

"..แล้วมีดในครัวมันหายไปไหนไม่รู้ ข้าหั่นหมูยอไม่ได้ ก็เลย..."

 

"หยิบเอาดาบศักดิ์สิทธิ์ไปใช้งั้นรึ" เถระต่อให้

 

"มันใกล้มือที่สุดนี่นา จะให้เดินไปซื้อใหม่ที่ตลาด ข้าก็ขี้เกียจ แล้ว..แล้ว... แล้วพอใช้เสร็จข้าก็ล้างคืนให้แล้ว" องครักษ์ไม่ลืมปิดท้าย คล้ายกับหวังว่าอย่างน้อยการรักษาความสะอาดไม่ลืมล้างดาบก่อนเก็บเข้าที่เดิมจะช่วยลดโทษให้เบาบางลง

 

ท่านโดร่าหายใจฟืดฟาดอยู่อีกพักใหญ่ก่อนจะกลับเป็นปั้นหน้าเมตตาเพื่อรักษามาด

 

"เอาเถอะ ข้ายกโทษให้ ...จะตัดเงินเดือนเจ้าแค่สามสิบเปอร์เซนต์"

 

ไบคันร้องโอดโอย

 

"อย่าครวญ นี่ถือว่าเมตตามึงมากแล้ว" พระเถระเริ่มพูดจาไม่สมนักบวช

 

ครั้งนี้จะไว้ชีวิตมันสักครั้ง... ท่านเอมอนคิดในใจ อย่างน้อยการกระทำโดยพลการของเจ้านี่ก็ช่วยให้ดาบศักดิ์สิทธิ์ยังคงอยู่กับทางเรา

 

แต่กระนั้น อีกมุมหนึ่งของความคิดก็ให้นึกสงสัยว่าหากเป็นเช่นนั้นแล้วหมายความว่าผู้เป็นขโมยยอมเลิกราจากไปทั้งที่ยังมิได้ดาบซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการชุบชีวิตไปอย่างนั้นรึ

 

ความสงสัยดังกล่าวยังมิทันคลาย ก็ให้บังเอิญที่สายตากวาดไปพบสิ่งผิดปรกติบางอย่าง

 

"เดี๋ยว"

 

เสียงนั้นขัดจังหวะไบคันที่กำลังจะย่องออกไปให้ชะงักกึก

 

"ทำไมมันเปิดแง้มเอาไว้"

 

'มัน' ที่ว่าคือบานประตูของตู้ไม้เก่าซึ่งเป็นช่องเล็กๆซ่อนอยู่ใต้แท่นบูชา

 

พระเถระเหล่มององครักษ์ไบที่สะดุ้งเฮือกขึ้นมาเป็นหนสอง

 

"เพราะว่ามันปิดไม่แน่นน่ะสิขอรับ แหะๆ" องครักษ์หนุ่มพยายามติดตลกเฉไฉ

 

"อย่ามาทะลึ่งกะกู จะตอบดีๆหรือจะตอบด้วยน้ำตา" พระเถระเริ่มพูดจาไม่สมนักบวชอีกรอบ ไบคันหมดทางเลือกได้แต่สารภาพเสียงแหบแห้ง

 

"ข้า...แบบว่า... ระหว่างที่เอาดาบศักดิ์สิทธิ์ไปใช้ ข้าก็หยิบดาบอีกเล่มที่ซุกไว้ในนั้นมาตั้งแสดงแทนไปพลางๆก่อน เห็นรูปร่างมันคล้ายๆกัน"

 

เจ้าอารามเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาในฉับพลัน "แล้ว...แล้วแผนที่"

 

"หง่า คือ...ก่อนอื่น ท่านต้องเข้าใจว่าถ้วยมาม่ามันร้อน" ไบคันอ้อมแอ้ม "ข้าเห็นแผนที่มันหนาดี เลยเอาไปใช้แทนถุงมือจับ"

 

"แล้วเจ้าก็เอาแผนที่ที่ซุกไว้ในตู้มาแปะไว้ในกรอบแทนใช่มั้ย" คนฟังต่อให้อย่างรู้ทันเช่นเคย

 

ไบคันหัวเราะแหะๆ

 

"ตายหะ" ท่านโดร่าอุทานออกมาเบาๆ ยกมือสองข้างขึ้นกุมขมับ หมายความว่าสิ่งที่ถูกลักไปคือดาบกับแผนที่ชุดนั้น โอ...เวรตะไลสุดๆ

 

"แหม แต่ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอขอรับ" ไบคันที่ยังไม่รู้สึกตัวว่าทำอะไรลงไปพล่ามต่อหน้าแป้นแล้น "เพราะข้าแอบหยิบเอาไปใช้ ทั้งดาบทั้งแผนที่เลยยังอยู่ครบ ที่เจ้าโจรได้ไปก็เป็นแค่ของเก๊"

 

ชายหนุ่มทรุดลงไปคุยกับพื้นหินทันทีที่พูดจบ

 

"เก๊บ้านเอ็งสิ" ท่านโดร่าถือค้อนเหล็กไว้ในมือ มีเลือดจากหัวไบคันหยดลงมาแหมะๆ

 

"หรือว่า ดาบเล่มนั้นคือ.." ยาฮูเห็นท่านนักบวชทำหน้าราวกับปวดขึ้ พลอยเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวั่นหวาด "...กุญแจสู่ดินแดนแห่งดอร์มิน"

 

"ไม่ใช่!" พระเถระขัดในทันควัน "มันเป็น..."

 

หนวดเรียวสามเส้นข้างแก้มขาวโพลนกระตุกขึ้นคราหนึ่ง

 

"กุญแจสู่ดินแดนแห่งอนิธิน"

 

"ดินแดนแห่งอนิธิน?"

 

ยาฮูทวนคำอย่างงุนงง

 

ที่แล้วมาเขารู้จักแต่ดอร์มิน อนิธินนี่เทพอะไรไม่เคยได้ยิน

 

"เทพผู้นั้นเป็นเทพที่น่ากลัว..." ท่านโดร่าเอ่ยเสียงชวนสยอง ตัวสั่นงั่กๆราวกับคนสติแตก "องค์สุริยเทพได้เจอยังหนาวดึ๋ง อสุรเทพมาพบยังสะท้านอึ้ง"

 

 

 

 

‘คนจน’ เด็กหนุ่มจากเผ่าร่อนเร่กำลังมุ่งหน้าไปยังดินแดนแห่งนั้น

 

เด็กหนุ่มก้มลงมองห่อผ้าตรงหน้า มือข้างหนึ่งปล่อยจากบังเหียนมาลูบไล้ส่วนบนของห่อผ้าเพียงแผ่วเบา

 

เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว...

 

...ทั้งหมดนี้...

 

...เพื่อเธอ...

 

ริมฝีปากของเขาขยับเอ่ยนามหนึ่งเพียงแผ่ว

 

"...อีโน..."

 

เธอผู้เป็นดั่งแสงสว่างแผ่ความอบอุ่นอันอ่อนโยน เป็นเสมือนน้ำทิพย์ชโลมใจให้เย็นรื่น เป็นประหนึ่งยาลดกรดในกระเพาะคลายความอึดอัดหลังอาหาร

 

ว่าแต่... นี่แผนที่อะไรของมัน ยึกยือไม่รู้เรื่อง แยกไม่ออกเลยระหว่างแม่น้ำ เส้นเขตแดน กับไส้เดือนป่วย แล้วไอ้ตัวหนังสือที่เขียนกำกับสถานที่แต่ละจุดนี่สาบานนะว่าลายมือคน กว่าจะคลำทางมาถึงที่นี่ได้เล่นเอาหืดขึ้นคอ นึกว่าจะทะลุออกอ่าวตังเกี๋ยไปซะแล้ว

 

"ทนหน่อยสิ อะกรู"

 

เด็กหนุ่มร้องติงเมื่อมีเสียงครางฮี้ๆจากสัตว์พาหนะ ตั้งแต่ย่างเข้าสัปดาห์ที่สามของการเดินทาง (หลังจากหลงไปโผล่ที่ทะเลทรายแล้วเจอผู้หญิงชุดขาวที่ไหนก็ไม่รู้ถือกริชวิ่งไล่ฟัน) อะกรูก็ครางบ่นมาตลอดไม่ยอมหยุด วิธีใช้แครอทผูกไว้ที่ปลายไม้ยาวให้ห้อยลงมาล่อที่ด้านหน้าดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ผลแล้ว ไอ้ม้าคู่ใจเขาไม่ยอมวิ่งเลย หอบแฮ่กๆแถมผายลมดังปุ๋งดังปี๊ไม่หยุดยั้ง ดมมากเข้าคนจนชักหน้ามืด จำต้องหยุดพักชั่วขณะ ไม่อย่างนั้นเขาอาจตายก่อนจะถึงแดนต้องห้าม

 

ระหว่างลงนั่งพักใต้ต้นไม้ คนจนปล่อยใจล่องลอยเพื่อผ่อนคลาย หวนรำลึกถึงอดีตอันแสนหวาน ...ครั้งแรกที่เขาได้เจอเธอที่ริมบึงน้อยนั่น...

 

"ข้าชื่ออีโน ท่านล่ะคะ?"

 

อา... อีโนจ๋า เด็กหนุ่มใจลอยเคลิ้มฝัน

 

......

 

...แล้วไงต่อวะ จำไม่ได้แล้ว

 

คลับคล้ายคลับคลาเหมือนเธอจะยิ้ม บอกว่าหมู่บ้านเราไม่ต้อนรับคนแปลกหน้าแล้วเอาน้ำในกระออมสาดใส่ แต่เขาเงินหมดไม่มีที่ไปเลยต้องด้านหน้าอ้อนวอนขอพักที่หมู่บ้าน ร้องห่มร้องไห้สิ้นเชิงชายจนเธอใจอ่อนยอมพาไปพบท่านโดราเอมอนที่อนุญาตให้เขาไปนอนในคอกม้าของอาราม เพราะคนเก็บขี้ม้าเพิ่งลาออกไปพอดี...

 

ไม่เห็นซึ้งเลยว่ะ เลิกย้อนความหลังดีกว่า "ไปต่อได้แล้ว อะกรู!"

 

เจ้าม้านอนหงายท้องผึ่งพุง แถมบิดขี้เกียจทำเล่นตัว จนเขาง้างสายธนูเล็งใส่ก้นมันจึงค่อยรีบลุกพรวด

 

 

 

 

ควบมาอีกระยะหนึ่งเขาก็พบ

 

ป้ายโค้งใหญ่เบ้อเร่อเด่นหราเหนือซุ้มประตู สลักข้อความว่า "ยินดีต้อนรับสู่แดนต้องห้าม"

 

ต่ำลงมาเป็นกล่องใบเขื่องขวางหน้าทางเข้า มีป้ายไม้เล็กๆ อยู่เหนือกล่องนั้น ตัวอักษรเลือนจางไปมากตามกาลเวลา แต่ตัวเลขบนนั้นยังชัดแจ๋ว

 

...กรุณาจ่ายค่าผ่านประตู คนเป็น 200 คนตาย 150 ม้า 300... ถ้าไม่หยอด ประตูจะไม่เปิดนะเอ้อ

 

เด็กหนุ่มมึนงงไปสามวินาที

 

 

 

 

หืมม์...

 

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองหาต้นเสียง ทว่าไม่พบผู้ใด

 

ดูเหมือนเสียงจะมาจากช่องแสงบนเพดานอาราม

 

เจ้าครอบครองดาบโบราณอยู่กระนั้นหรือ? เช่นนั้นเจ้าคือมนุษย์สินะ...

 

ดาบนี้ใช่ดาบโบราณรึเปล่า เขาก็ไม่รู้หรอก นอกจากอักษรนูนตัวเล็กๆบนใบดาบด้านหนึ่งว่า 'Produced by Somy' แล้ว ก็ไม่มีบอกปีที่ผลิตซะด้วยสิ แต่ยังไงเขาแน่ใจว่าตัวเองเป็นมนุษย์แน่ๆล่ะ

 

"ท่านคือดอร์มินใช่ไหม?" คนจนถาม

 

ไม่ใช่

 

"อ้าว?"

 

เราคือผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามอนิธิน เสียงนั้นตอบ

 

อนิธิน?... คนจนพยายามนึก ที่ได้ยินมาจากท่านเอมอนไม่ใช่ชื่อนี้นี่หว่า เออ ช่างมันเหอะ คงคือๆกันนั่นล่ะ

 

"นางถูกสังเวย เนื่องเพราะนางมีชะตากรรมต้องสาป" คนจนหันกลับไปมองร่างของเด็กสาวบนแท่น "ข้าขอวอนท่าน โปรดช่วยนำดวงวิญญาณของนางกลับคืนมาด้วย..."

 

เสียงจากแสงสูรย์หัวเราะน้อยๆ

 

วิญญาณของสตรีผู้นี้น่ะหรือ? วิญญาณที่ดับสูญไปแล้วมิมีวันหวนคืน...นั่นมิใช่กฎของมวลมนุษย์หรืออย่างไร? น้ำเสียงแห่งเทพบอกความขบขัน ...ไม่มีความเวทนา

 

เด็กหนุ่มชักยัวะ ไม่ช่วยก็อย่าช่วยสิวะ หัวเราะเยาะทำไม

 

พูดไปงั้นแหละ ความจริงข้าช่วยชุบชีวิตให้นางได้ อนิธินเฉลยหักมุมอย่างง่ายๆ เพียงแต่... ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน

 

"แล้วข้าต้องทำเช่นไรบ้าง?" เด็กหนุ่มรีบถาม

 

แสงสว่างจากช่องเพดานวาบขึ้น วัตถุรูปร่างแบนบางชิ้นหนึ่งกับเล็กสั้นเป็นแท่งผอมอีกชิ้นหนึ่งปลิวลงมา

 

กระดาษ กับปากกา...

 

จงคิดวิธีทรมานจิตทรมานใจมา ไม่จำกัดเงื่อนไข ยิ่งเจ็บปวดยิ่งรวดร้าวยิ่งดี เอาชนิดที่ทำให้คนถูกทรมานนึกเสียใจที่เกิดมามีเส้นประสาทรับรู้ความรู้สึกเลยยิ่งแจ่ม คิดมาให้มากที่สุด แล้วเขียนลงมาในกระดาษ สามารถเขียนต่อที่หน้าหลัง และถ้าไม่พอขอเพิ่มได้

 

คนจนหยิบกระดาษกับปากกาขึ้นมาถืออย่างเก้ๆกังๆ พลางครุ่นคิด

 

สงสัยท่านเทพจะเป็นซาดิ..

 

ขอบอกไว้เสียก่อนหากเจ้าคิดจะเอ่ยอะไรอันไม่สมควร! เสียงของอนิธินก้องขึ้นขัดจังหวะความคิด

 

ก่อนหน้าก็เคยมีไอ้หนุ่มผมทองตาสีฟ้าผู้หนึ่งดั้นด้นมาที่นี่เพื่อขอให้ชุบชีวิตหญิงคนรักเช่นเดียวกับเจ้า ...มันชื่อเอรอนหรืออะไรนี่แหละ จำไม่ได้แล้ว

 

เสียงแห่งเทพทำท่าเหมือนจะหลงๆลืมๆ

 

ไอ้หนุ่มผู้นั้นทำหน้าเหมือนท้องผูก เดินเต๊ะเข้ามาอย่างมากท่า ครั้นพอข้ายื่นข้อเสนออย่างที่ยื่นกับเจ้าให้มัน มันก็กล่าววาจาสามหาวต่อข้า หาว่าข้านั้นซาดิสต์อำมหิตโหด ข้าจึงลงโทษความโอหังของมันด้วยเวทกักขังกาลเวลา

 

"เวทกักขังกาลเวลา..." คนจนเอ่ยทวนชื่อนั้นด้วยความพรั่นพรึง มันเป็นเวทมนตร์คำสาปเยี่ยงไรกัน

 

แน่นอน เขาไม่รู้หรอก แต่ฟังจากชื่อท่าทางจะใหญ่โตไม่เบา ดังนั้นกลัวไว้ก่อนไม่เสียหาย

 

มันโดนเวทของข้าไปเต็มๆ ล่วงเลยมาเนิ่นนานจนป่านนี้ เวลาของมันยังค้างเติ่งอยู่ที่บทที่ยี่สิบสองอยู่เลย

 

คนจนเกาหัวแกรก ฟังไม่เข้าใจ

 

"เอ่อ ช่างเถอะ ว่าแต่ที่บอกว่าคืนชีพให้เมียข้าได้นี่ ท่านทำได้จริงเปล่า" เด็กหนุ่มปั้นหน้าคลางแคลง เริ่มไม่ใคร่จะเชื่อถือ

 

เหอะๆ พูดเช่นนี้แสดงว่าเจ้ามิรู้อะไร ข้าสามารถดลบันดาลและเปลี่ยนผันได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งแปรใจเจ้าจากหญิงคนรัก ให้หันไปหลงใหลพี่ชายของนางแทนก็ยังได้ จะลองดูไหม

 

...ไอ้หน้ากากนั่นน่ะนะ คนจนนึกภาพแล้วขนลุกซู่ "ม..ไม่เอาดีกว่าท่าน ข้าเชื่อแล้วจ้ะ"

 

ทีนี้เข้าใจแล้วสินะ ถ้าเสียวไส้ไม่อยากโดนดีก็รีบๆคิดแล้วเขียนส่งมา อ้อ บอกไว้ก่อน โซ่แส้กุญแจมือน่ะไม่เอานะ เบบี๋เกิน เบื่อแล้ว

 

"ข้า.. แต่ว่า ข้าไม่รู้จะคิดวิธีอะไรดี" คนจนกระวนกระวาย "ข้าไม่นิยมเอ็สเอ็ม ข้าเป็นโลลิ"

 

เช่นนั้นก็ต้องบอกว่าเสียใจด้วย อนิธินทำเสียงบู่ ข้าไม่ใช่องค์กรการกุศล เรื่องชุบชีวิตให้ใครฟรีๆนั้นอย่าหมาย

 

คนจนคอตก นึกด่าทอตนเองในใจ บ้าที่สุด ตอนอ่านเบอร์เซิร์กเขาควรจะจับจ้องที่กัซให้มากกว่านี้ ไม่น่ามัวแต่ไปเหล่ซีลเก้เลย

 

ทว่า...หากมีดาบเล่มนั้น...อาจมิใช่สิ่งอันเป็นไปมิได้ก็เป็นได้ อนิธินเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

 

"จริงหรือ!?" คนจนอุทานอย่างเปี่ยมความหวัง

 

แน่ยิ่งกว่าแช่แป้ง หากเจ้าสามารถทำสิ่งที่เราร้องขอได้สำเร็จ

 

"โปรดว่ามาโลด"

 

จงดู รูปสลักที่เรียงรายริมผนังเหล่านี้

 

คนจนหันหลังกลับไปมอง สองข้างทางที่เขาเดินผ่านมาตั้งขนาบไว้ด้วยรูปสลักมากมาย มีตั้งแต่ มังกร สิงโต ปลาวาฬ โลมา จาระเม็ด ไล่ไปจนถึง กบ งู แย้ ตะกวด ตะเขียด ตะปาด ฯลฯ

 

รูปสลักเหล่านี้ มิใช่สิ่งที่อาจทำลายได้ด้วยเพียงมือของมนุษย์ อนิธินอธิบายช้าๆ ...ข้าจะให้เจ้าไปทำลายมัน

 

"ขัดๆกันเองนะท่าน บอกว่ามนุษย์ทำลายไม่ได้ แต่จะให้ข้าไปทำลายเนี่ย"

 

กำลังจะบอกนี่ไง อย่าเพิ่งถามแทรกสิวะ เดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยว

 

วจนะจากเทพขึ้นเสียงชั่วขณะ คนจนรีบหุบหัวหดตัวโดยสัญชาตญาณ

 

ในดินแดนเบื้องนอกนี้มีเหล่าอสูรยักษ์ดำรงอยู่ อสูรยักษ์แต่ละตนคือร่างอวตารของรูปสลักเหล่านี้ หากเจ้าใช้ดาบโบราณสังหารพวกมันลงได้ รูปสลักจักพังทลายลง รายละเอียดที่เหลืออ่านเอาในคู่มือที่กล่องเก็บเงินหน้าประตูคายให้ตอนเจ้าเข้ามา

 

เวรล่ะ นั่นคู่มือเรอะ เขาก็นึกว่าแผ่นพับโฆษณา ดันทิ้งไปแล้ว

 

ทั้งหมดเป็นยักษ์หนึ่งร้อยหกสิบตน...เจ้าจักต้องทำลายพวกมันทั้งหมด

 

ร้อยหกสิบตน!? ทำไมมันเยอะขนาดนั้นวะ เด็กหนุ่มเห็นจำนวนแล้วก็แทบจะตายตามหญิงคนรัก

 

"...ขอต่อเหลือแค่สักสิบหกตนได้มั้ยท่าน"

 

ไม่ได้... คำตอบของอนิธินไร้เยื่อใย ตกลงจะทำหรือไม่ทำ...

 

"ข้าทำ..ก็ได้วะ" คนจนรับคำอย่างเสียไม่ได้

 

และจงฟังคำของเราให้ดี น้ำเสียงของอนิธินเคร่งเครียดขึ้น ค่าตอบแทนที่เจ้าจะต้องจ่ายเพื่อการนี้อาจใหญ่หลวงกว่าที่เจ้าคาดคิดนัก

 

คนจนขาสั่นหวั่นๆใจ เลือดร้อนเตรียมลุยที่พกพามาเต็มกระเป๋าก่อนจะมาที่นี่หดๆหายๆลงไปอย่างไรชอบกล

 

"ถึงอย่างนั้นก็มิเป็นไร ...มั้ง" เด็กหนุ่มตอบเป็นเสียงคราง

 

ดี อนิธินบอก คนจนไม่แน่ใจว่านึกไปเองรึเปล่า เหมือนได้ยินเสียงหัวเราะฮิๆแสดงความพึงใจแว่วปนมาด้วย

 

เมื่อนึกถึงวิบากกรรมที่ตนกำลังจะไปเจอแล้ว คนจนอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองเมียสาวตาละห้อย

 

มิต้องห่วงสตรีผู้นี้ ในดินแดนแห่งนี้ไร้ภยันตรายจากสัตว์ร้ายใดๆ แลไร้กาลเวลา นางจักคงสภาพเช่นนี้โดยไม่มีวันเปลี่ยนแปลง รวมทั้งกระเป๋าตังค์ของเจ้าด้วย วางไว้ที่นี่แหละ ไม่ต้องเอาไป รอจนเจ้ากระทำสิ่งที่เรามอบหมายสำเร็จค่อยกลับมาเอา

 

บัดนี้ จงชูดาบขึ้น ต้องแสงจันทร์...แลมุ่งหน้าไปยังจุดที่ลำแสงบรรจบกันเป็นหนึ่งเดียว...ณ ที่นั่นเจ้าจักพบยักษ์ซึ่งเจ้าต้องพิชิต

 

"เอ๊ะเดี๋ยว" คนจนขัดขึ้นเมื่อรู้สึกทะแม่งๆ "ท่านเพิ่งพูดเองไม่ใช่หรือว่าที่ดินแดนนี้มีแต่กลางวัน ...แล้วจะมีแสงจันทร์ได้ไง"

 

นั่น... เป็นปัญหาของเจ้า มิใช่ของข้า หาทางแก้เอาเอง

 

ตูว่าแล้ว คนจนกัดฟันกรอด

 

อย่าห่วง มันไม่ได้ยากเย็นเข็ญใจถึงขนาดนั้น ระหว่างที่เจ้าสู้ จะมีคำใบ้ให้ ถึงวิธีการโค่นล้มยักษ์แต่ละตน

 

เด็กหนุ่มถอนใจโล่งอก อย่างน้อยท่านเทพก็ไม่ได้ใจร้ายซะทีเดียว

 

แต่ในการใบ้ทุกๆสิบครั้ง จะมีใบ้หลอกอยู่เก้าครั้ง เจ้าต้องแยกแยะเอาเองว่าอันไหนจริงอันไหนจุ๊ หาไม่แล้ว..

 

คนจนหยิบเอาเศษหินเศษดินที่ตกเกลื่อนแถวๆนั้นขึ้นมาอุดหู เพราะขี้เกียจจะฟังต่อ

 

@#$%^&&%*>.........

 

ท่านเทพฝอยฟุ้งอยู่อีกครู่หนึ่งน้ำเสียงก็แผ่วเบาลงและเลือนหายไป เหลือเพียงเด็กหนุ่มคนจน เด็กสาวในชุดขาว และม้าสีดำอยู่ในความเงียบสงัด

 

เด็กหนุ่มจ้องมองร่างแน่นิ่งของเด็กสาวอีกเพียงครู่เดียว ก่อนจะชักดาบออก...แน่นอน ไม่มีปฏิกิริยาอะไร...จะสะท้อนแสงจันทร์ตามที่ท่านเทพบอกได้ไง ในเมื่อพระอาทิตย์ดวงเบ้อเริ่มลอยเท้งเต้งอยู่เหนือหัว

 

สงสัยต้องหาเอง เอาวะ เจอตัวอะไรใหญ่ๆสอยไว้ก่อนเป็นพอ

 

ก่อนไป เขาหันกลับไปมองร่างของเด็กสาวอีกครั้งเหมือนจะสั่งลา

 

รอก่อนนะ อีโน...

 

หลังจากอ้อยอิ่งด้วยความอาลัยอยู่อีกพักใหญ่ เขาก็ตัดใจกระโดดขึ้นหลังอะกรู ควบมันออกไปด้วยจิตมุ่งมั่น

 

ไม่สิ รออีกนานเลยล่ะ อีโน ...ก็เจือกล่อเข้าไปตั้งร้อยหกสิบตัว

 

...ตอนนี้ชักไม่แน่ใจแล้วว่าคิดถูกรึเปล่าที่มาที่นี่...

 

 

 

 

(ตำนานคนจนผู้เสียศูนย์... จบเห่) - [ ] - "

 

 

02 / 06 / 2550