Yaheem's Side Story
Lamp
Part I - Voices
* เพื่อแสดงถึงผลเสียของความรุนแรงในวัยเด็กต่อชีวิตของตัวละครตัวหนึ่ง เนื้อหาเรื่องนี้จำเป็นต้องมีการทำทารุณกรรมเด็กและสตรี ไม่ได้มีจุดประสงค์จะชี้แนะให้กระทำตามแต่อย่างใด ตัวผู้เขียนเองต่อต้านการทำทารุณกรรมต่อเด็กและสตรีโดยเด็ดขาด *
ว่ากันว่าก่อนที่จะตาย คนเรามักเห็นภาพชีวิตในอดีตย้อนกลับมา
แล้วเขาที่นอนลืมตาโพลงอยู่บนพื้นดินเล่า ควรจะเห็นอะไรกัน
หลังประกายแสงของฝูงหิ่งห้อยลาจาก คือความมืดเบื้องหน้าคลองจักษุที่พร่ามัวราวกับไร้ภาพใดๆ นี่สินะสิ่งที่เขาควรเห็น ความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุดเหมือนนรกที่เหมาะกับตัวเขา ความมืดที่เป็นดั่งห้วงน้ำลึกรึงรัดร่างจนแทบขาดใจตาย ความมืดที่ไร้ความหวังใดๆ สำหรับคนบาปที่ทำได้กระทั่งสังหารสายเลือดที่ใกล้ชิดเขาที่สุดซึ่งเขาควรปกป้อง
แต่แล้วแสงดวงหนึ่งก็ปรากฏ ริบหรี่ในทีแรกก่อนจะค่อยๆ สว่างขึ้น อยู่ไกลลิบในหางตาก่อนจะเริ่มใกล้เข้ามา มิใช่แสงสีขาวแสบตา ทว่าเรื่อเรืองเป็นสีเหลืองอบอุ่นเหมือนแสงไฟจากตะเกียง
...ตะเกียง...
ในความมืด มนุษย์ย่อมต้องการตะเกียงนำทาง
ทว่ายาฮีมเกลียดตะเกียงมาตั้งแต่เด็ก เพราะสิ่งที่ตะเกียงส่องให้เขาเห็นหลายครั้ง...หลายครา ไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับเขาเลย
สิ่งที่ตะเกียงดวงนี้นำมาก็คงเป็นเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มอยากหลับตาลงเหลือเกิน ทว่าเขากลับได้แต่ลืมตาค้างเช่นนั้น เหมือนไร้เรี่ยวแรงกระทั่งจะกระดิกนิ้ว มองภาพที่ตะเกียงฉายย้อนให้เขาดู ทีละภาพ...ทีละภาพ...ทั้งๆ ที่วอนขอให้แสงตะเกียงดับลง ทิ้งเขาไว้ในความมืดที่ไร้สรรพสิ่งให้เห็นเสียที
แรงเขย่ากระเทือนถึงอ้อมแขนที่โอบตัวเด็กชายอยู่ ปลุกเขาให้งัวเงียตื่น พบแสงตะเกียงส่องเหนือใบหน้า จนต้องหลับตาด้วยความแสบ
มีเสียง "ฮืม" หนักๆ ในลำคอตามมาด้วยการเขย่าแรงขึ้น จนกระทั่งร่างที่นอนอยู่ข้างเด็กชายยกแขนออกจากร่างของเขา
เด็กชายเสี่ยงลืมตาขึ้นเห็น 'พ่อ' ที่ไม่ได้กลับมาตั้งแต่เมื่อตอนเย็น ใบหน้าในแสงตะเกียงแยงตาปรากฏเป็นเงาทะมึนเหมือนปีศาจ มือใหญ่ข้างที่ไม่ได้ถือตะเกียงทาบลงบนแก้มของแม่ที่นอนอยู่ข้างเขาเหมือนจะครอบปิดทั้งใบหน้าได้มิด กระทั่งเด็กชายยังเผลอจินตนาการไปว่า มือนั้นสามารถบีบหน้าของแม่จนปริแตก เหมือนกับที่เคยบีบมะเขือเทศเละคามือแล้วปาใส่แม่ตอนทำอาหารเย็นชักช้าไม่ทันใจ
"มีอะไรคะ" เสียงถามของแม่กลับกลายเป็นเสียงอุทาน เมื่อ 'พ่อ' ดึงแขนแม่ขึ้นมา น้ำหนักและความอบอุ่นบนฟูกข้างตัวเด็กชายหายไปโดยเร็ว
จากนั้นมีเสียงฝีเท้าบนพื้นไม้ดังกระชั้นติดต่อกัน และเสียงบานพับประตูเก่าฝืดบาดหู เด็กชายยกศีรษะขึ้นมองเงาตะคุ่มสองร่างที่บังหน้าแสงตะเกียง เงาข้างหน้าของ 'พ่อ' ผลุบออกนอกประตูไปแล้ว เงาของแม่ก้มหน้าเดินตามเจ้าของมือที่ยังเกาะกุมมือของตน ทำท่าจะตามไปแต่โดยดี
"พ่อจะพาแม่ไปไหน" เด็กชายร้องถาม
แม่หันกลับมามองเขา ก่อนจะหันกลับไปมอง 'พ่อ' ซึ่งชะงักไป
"ยาฮีมตื่นแล้วนะคะ"
"แล้วยังไง" อีกฝ่ายกลับย้อนห้วนๆ
ยาฮีมจำได้ว่าเมื่อ 'พ่อ' เมา เสียงจะห้วนโฮกฮากเช่นนี้เสมอ
"ให้ข้ากล่อมลูกให้หลับก่อนเถอะค่ะ แล้วจะรีบตามไป"
'พ่อ' ไม่ตอบว่าอะไร เงาร่างสูงใหญ่กับเล็กบอบบางดูจะจ้องมองกันอย่างตึงเครียดครู่หนึ่ง ก่อนที่แม่จะหันกลับมาทางเขาอีกครั้ง
"ไม่มีอะไรหรอกยาฮีม แม่ไปธุระเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวก็กลับ--"เสียงตอนท้ายของแม่กระตุกหน่อยๆ เพราะ 'พ่อ' คว้าแขนแม่ดึงไปพ้นหน้าประตูโดยไม่พูดอะไรอีก
แล้วประตูก็ปิดลง ทิ้งเด็กชายไว้ในความมืดและความเงียบ
...ก่อนความเงียบจะถูกแทนที่ด้วยเสียงประตูห้องนอนของพ่อกับแม่ที่อยู่ติดกันปิดดังปัง
เมื่อแม่หวีดร้องดังขึ้นครั้งหนึ่ง ยาฮีมก็ผวาลุกขึ้นนั่ง ชั่วครู่ต่อมามีเสียงไม้ลั่นเอียดอาดเหมือนเวลาที่เด็กชายเคยทิ้งตัวลงบนเตียงแรงๆ กับเสียงพ่อตะโกนอะไรบางอย่างที่เขาจับใจความไม่ได้
เด็กชายวิ่งไปที่ประตู...เพียงเพื่อจะพบว่ามันถูกลงกลอนจากด้านนอก
"แม่...แม่!" เขาทุบประตูและร้องเรียก แต่ไม่มีใครเปิดเลย แม่พูดคุยละล่ำละลักกับ 'พ่อ' ที่พูดกราดเกรี้ยว กลบเสียงเรียกของเขาจนหมด จากนั้นเสียงลั่นของไม้ก็คงดังต่อไปพร้อมๆ กับเสียงร้องไห้คร่ำครวญของแม่ แม้ยาฮีมจะวิ่งกลับไปทิ้งตัวลงบนเตียง ซุกตัวใต้ผ้าห่มและยกหมอนขึ้นปิดหูก็ไม่อาจกันเสียงเหล่านั้นได้ทั้งหมดเลย
เด็กชายปิดตาแน่น กลัวเหลือเกินที่ต้องอยู่คนเดียวในความมืดกับเสียงเหล่านั้น นานเท่าไรไม่รู้จึงได้รู้สึกว่าเสียงเงียบไป เงียบกระทั่งไร้เสียงใดๆ เป็นเวลานาน
ก่อนจะมีเสียงปลดกลอน และเสียงประตูบานเก่าครางยาวขณะค่อยๆ ปล่อยให้แสงเข้ามาในห้อง
ยาฮีมกลั้นใจโผล่หน้าจากใต้โปงผ้าห่ม เห็นว่าเป็นแม่นี่เองที่ถือตะเกียงกลับเข้ามา วางตะเกียงไว้บนตู้เล็กๆ ข้างหัวเตียงก่อนจะนั่งลงบนเตียง ส่งยิ้มเฝื่อนๆ ให้เขา
"นอนต่อเถอะจ้ะ"
"ทำไมแม่ร้องไห้" แม่ดูจะชะงักไปครู่หนึ่งกับคำถามนั้น
"เปล่านี่จ๊ะ" แม่ยกมือขึ้นปาดดวงตาแล้วส่งยิ้มให้เขาอีกครั้ง "แม่ไม่ได้ร้องไห้สักหน่อย แค่ฝุ่นเข้าตาเอง"
"แล้วทำไมพ่อดุแม่"
แม่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
"พ่อไม่ได้ดุแม่เลย ยาฮีมฝันร้ายไปเองมั้งจ๊ะ แม่แค่ไปกล่อมพ่อนอน เหมือนที่ร้องเพลงกล่อมยาฮีมแหละ"
แม่ดับตะเกียง ก้มหน้าลงจูบยาฮีมที่หน้าผากเบาๆ เมื่อใบหน้าของแม่เลื่อนเข้ามาใกล้ เด็กชายก็ได้กลิ่นเหล้าจางๆ คล้ายที่ได้กลิ่นจากพ่อเวลาเมากลับบ้าน ผสมกับกลิ่นเลือดที่เขารู้จักจากเวลาหกล้มหัวเข่าแตก แต่ไม่กล้าถาม
"หลับเถอะนะ" แม่เอนหลังลงบนเตียงข้างเขา สวมกอดเขาไว้ตามเดิมพร้อมกับฮัมเพลงกล่อมเบาๆ แม้นเสียงจะสั่นพร่าผิดจากตอนหัวค่ำ พยายามกล่อมเขาให้หลับในที่สุด
ฝันร้าย...
ใช่แล้ว มันคือฝันร้ายจริงๆ เวลามีเสียงพวกนั้น ยิ่งเมื่อ 'พ่อ' เมากลับมาตอนดึกและดึงตัวแม่ไปจากห้องของเขาบ่อยขึ้นทุกที ยาฮีมรู้สึกตัวไว จึงรู้ตัวทุกครั้งพ่อมาตามแม่ ไม่อย่างนั้นก็เพราะเสียงต่างๆ ที่กั้นด้วยอีกฟากผนังไม้ไม่ได้เบาเอาเสียเลย
ในที่สุด ก็มาถึงจุดที่เด็กชายแกล้งทำเป็นหลับเมื่อเห็นแสงตะเกียงในมือพ่อ แกล้งทำเป็นเมินเฉยต่อเสียงจากอีกห้อง แม้จะตื่น ได้ยิน และรับรู้ทุกอย่าง เมื่อแม่ถือตะเกียงกลับมา ทิ้งตัวลงนอนหันหลังให้กับเขาทั้งๆ ที่ยังสะอื้นเบาๆ เขาก็บังคับตนเองให้หลับไปในไม่ช้า
...จนคืนหนึ่งที่ฝันร้ายมาเยือนในห้วงนิทรา...
ในฝันร้ายนั้นเด็กชายวิ่งไปมาตามทางเดินมืดมิด...ทางเดินที่เหมือนจะเป็นในบ้านของตนแต่ขณะเดียวกันก็ดูน่าสะพรึงกลัวจนไม่น่าใช่ เพราะมันเพียงทอดยาวออกไปเรื่อยๆ ไร้ที่สิ้นสุด เด็กชายร่ำร้องหาแม่ แม่ผู้เป็นแสงสว่างในชีวิตของเขา แม่ผู้อ่อนโยนและอารีกับเขาเสมอ ทว่าถึงเขาจะร่ำร้องเพียงไรก็ไม่ปรากฏเงาร่างของท่าน ถึงเขาจะโหยหาอ้อมกอดอันอบอุ่นในยามราตรีเพียงไร...รอบกายกลับมีแต่ความเหน็บหนาวอ้างว้าง
เด็กชายสะดุ้งตกใจขึ้น พบว่าตนนอนอยู่ในห้องมืดเพียงลำพัง
แม่อยู่ไหน...
เขาเสี่ยงลุกขึ้นนั่ง หมอนข้างๆ เย็นเยียบไร้ความอบอุ่นแม้ยังเหลือรอยบุ๋มตื้นๆ เสียงเดิมๆ ที่เคยได้ยินดังเข้าหู เสียงร้องไห้ของแม่และตะโกนเกรี้ยวกราดของพ่อ
แต่ประตูห้องของเขากลับแง้มอยู่ บานพับเก่าส่งเสียงครางแสบหูเมื่อลมจากหน้าต่างพัดวูบหนึ่ง เหมือนจะประกาศถึงอิสรภาพที่เขามีในคืนนี้
ยาฮีมกลั้นใจวางเท้าลงบนพื้น ค่อยๆ ก้าวไปยังประตูที่เห็นเป็นเงาสลัว ไม่มีตะเกียง และถึงแม้จะมี เขาก็ไม่รู้จะจุดมันเช่นไร
เด็กชายดึงประตูห้องให้เปิดกว้างพอที่ตนจะแทรกกายออกไป จากนั้นก็คลำผนังห้องไปจนเห็นประตูห้องของพ่อ
มีลำแสงลางๆ ส่องมาจากภายในห้อง เบื้องหลังประตูที่เปิดเพียงแง้ม มีเสียงดังจากภายในนั้น เป็นเสียงต่างๆ ที่เด็กชายเคยได้ยินจากในห้องของตน พวกมันยิ่งแจ่มชัดเมื่อเขาเข้าไปใกล้ขึ้น...ใกล้ขึ้น
...โดยเฉพาะเสียงร้องของแม่...
เด็กชายอยากเข้าไปช่วยแม่เหลือเกิน อยากผลักประตูสุดแรงเกิดแล้ววิ่งเข้าไปหาท่าน แต่ความกล้าเท่าที่เด็กอ่อนวัยจะมีก็ทำให้ทำได้เพียงก้าวเท้าเบาๆ ไปที่เบื้องหน้าแสงนั้นและมองเข้าไป ด้วยดวงตาซึ่งเบิกกว้างขึ้นทุกขณะจนแทบลุกโพลง
แสงตะเกียงสลัวจากในห้องส่องให้เห็นกองเสื้อผ้าระเกะระกะ และแม่ที่ทอดร่างอยู่บนพื้นท่ามกลางกองผ้านั้น ผมสีดำยาวสยายแผ่ยุ่งเหยิงบนพื้นไม้ ปีศาจร้ายตัวใหญ่โน้มกายอยู่เหนือท่านเป็นเงาเงื้อมทะมึน มันกำลังทำร้ายแม่ เด็กชายรู้ เพราะเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของแม่ยังดังอยู่เรื่อยๆ
ยาฮีมเสี่ยงก้าวเข้าไปใกล้รอยแง้มของประตูอีกก้าวหนึ่ง แม่หันขวับมาเห็นเขา ดวงตาฉายแววหวาดหวั่น ส่ายหน้าเงียบๆ พร้อมกับขยับพึมพำคำพูดไร้เสียง
อย่าเข้ามา...
กลับห้องเร็ว ยาฮีม กลับห้อง--
แม่หลุดเสียงร้องออกมาเมื่อมือของปีศาจบีบเข้าที่ใบหน้า เสียงพูดของมันเหมือนกับเสียงของคนที่เขารู้จักจนเด็กชายสะดุ้งโหยง
"พึมพำอะไรของแก"
"พ่อ..." ยาฮีมอุทาน เรียกสายตาของปีศาจร้ายตนนั้นมาทางเขา
...ให้เขาได้เห็นว่ามันมีใบหน้าของ 'พ่อ' เช่นเดียวกับเสียง...
"ยาฮีม กลับห้องไป! แม่บอกให้กลับห้องไปไงเล่า!!" แม่ร่ำร้องเสียงเครือ แต่เด็กชายยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ราวกับว่าไม้กระดานกลับมีชีวิต งอกรากมาพันแข้งขาไม่ให้เขาไปไหน
"ถ้ามันอยากดู ก็ให้มันดู" ปีศาจหรือ 'พ่อ' พูดห้วนๆ
"แต่ว่า--"
"สักวันมันก็ต้องทำกับผู้หญิงคนอื่นเหมือนที่ข้าทำกับแกนั่นล่ะ" หลังจากนั้น 'พ่อ' ก็หันมาพูดกับเขา "เอ้า ดูซะสิ นี่ล่ะ...วิธีที่แกกับไอ้เด็กเวรทุกคนเกิดมา"
"ยาฮีม กลับห้องเดี๋ยวนี้นะ!" แม่ร้องบอกอีกครั้ง ก่อนจะกรีดร้องด้วยความตกใจ หน้าสะบัดเมื่อฝ่ามือของพ่อตบฉาด
"ปกป้องไอ้เด็กนี่ไปทำไม พอมันโต มันก็ต้องรู้อยู่ดี จะช้าจะเร็วไม่เห็นต่างกันตรงไหน"
แม่สะอื้น เด็กชายเห็นเลือดไหลซึมที่มุมปาก พอแม่อ้าปากจะพูด มือใหญ่หนาก็เลื่อนมาปิดปาก กระนั้นแม่ก็ยังหันมาทางเขาด้วยสายตาอ้อนวอน
เป็นสายตาที่แม่ใช้ประจำ เพราะแม่ไม่ใช่คนตาดุ 'พ่อ' เสียอีกที่เป็นฝ่ายดุและแม่ต้องก้มหน้ารับคำดุทุกครั้ง แม่เลยกลายเป็นคนดุใครไม่เป็น กระทั่งเวลาห้ามยาฮีมไม่ให้เล่นซน เสียงของแม่ยังอ่อนจนฟังเหมือนเป็นขอร้องเสียมากกว่า
และตอนนี้แม่ก็กำลังขอร้องให้เขากลับห้อง อ้อนวอนให้เขาอย่ามองภาพตรงหน้า แต่ทั้งสองขาสองตาของเขาเหมือนจะกลายเป็นหิน ขยับไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
สุดท้ายแม่ก็หลับตาลง แต่ 'พ่อ' ยังตะคอกใส่แม่ด้วยถ้อยคำที่แม่เคยห้ามยาฮีมพูดเด็ดขาดเป็นชุด พร้อมกับทำร้ายแม่ที่หลับตานอนนิ่งต่อไปเรื่อยๆ
ยาฮีมกลัวเหลือเกินว่าแม่ตายไปแล้วใช่ไหม กลัวเหลือเกินว่าแม่จะไม่ฟื้นขึ้นมาอยู่กับเขาอีก
แต่ในที่สุด เมื่อ 'พ่อ' ผละจากแม่ แม่ก็ลืมตาขึ้นเหมือนฟื้นคืนชีพจากความตาย ลุกขึ้นนั่งฉวยเสื้อผ้า สวมปกคลุมกาย แล้วเดินเข้ามาหาเขา จับมือจูงเขากลับไปที่ห้องเร็วที่สุดเท่าที่สองขาของแม่จะซวนเซไปได้
พอประตูห้องปิดลง ยาฮีมถึงเพิ่งรู้ตัวว่าน้ำตาไหลนองหน้าตน พอเขาหลุดเสียงสะอื้นออกมา แม่ก็กอดปลอบโยนเหมือนเช่นทุกครั้ง
"เด็กดี ไม่มีอะไรหรอก ลูกแค่ฝันร้ายไปเท่านั้นเอง" แม่บอกเขา ทั้งๆ ที่เด็กชายเห็นว่าแม่เองก็ร้องไห้
"แม่เจ็บไหม"
"...ไม่เจ็บหรอกจ้ะ ไม่เจ็บเลย" แม่พูด ทั้งๆ ที่คราบเลือดแห้งยังติดกรังอยู่ที่มุมปาก
"แล้วพ่อทำร้ายแม่ทำไม"
แม่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็กอดเขาไว้แน่น เผลอสะอื้นออกมาครั้งหนึ่งก่อนจะรีบกลั้นไว้
"พ่อเขาเมา ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายแม่หรอก ไว้ยาฮีมโตแล้วจะเข้าใจนะจ๊ะ" แม่พูดพลางยกมือขึ้นลูบศีรษะของเด็กชายอย่างปลอบโยน "ยาฮีม สัญญากับแม่นะ...ว่าจะไม่เอาเรื่องคืนนี้ไปบอกใคร ลืมเรื่องนี้ไปได้ยิ่งดี เข้าใจใช่ไหมลูก"
"...ฮะ..." เด็กชายรับคำง่ายๆ เพราะความเด็กทำให้เขาไม่ว่ารู้จะตั้งคำถามเช่นไร หรือมิเช่นนั้นเขาก็อยากให้แม่สบายใจ
ทว่าชั่วชีวิตของยาฮีมจวบจนถึงตอนนี้จำใจต้องยอมรับกับตนเองว่าไม่อาจลบภาพที่เห็นไปจากความทรงจำได้เลยชั่วขณะจิตเดียว มันย้อนกลับมาหลอกหลอนเขา หลายต่อหลายครั้งในสำนึก กระทั่งเขารู้สึกว่าผู้ชายทุกคน...ไม่เว้นตนเอง...คือปีศาจร้ายในความมืด
"แกจะให้เด็กนั่นมาอยู่บ้านนี้!"
ถึงจะทำเป็นจดจ่อกับตุ๊กตาม้าไม้ของตน เด็กชายก็ยังได้ยินเสียงหญิงชราในห้องมืดที่เปิดประตูแง้มไว้พูดสลับกับไอโขลก ลุงเขยของเขาที่เป็นเจ้าของบ้านนี้เคยเปรยเวลาประตูห้องปิดอยู่ว่าแกน่าไออยู่หรอก ในเมื่อยายเชื่อว่าลมโกรกจะทำให้โรคที่ตนเป็นอยู่ทรุดลง จนเอาแต่ขลุกตัวอยู่ในห้องตลอดทั้งวัน ไม่ยอมเปิดหน้าต่างระบายอากาศเสียบ้าง
"ถ้าจับเขยรวยๆ ไม่ได้คนนึง คงประคองอาการไม่ได้มาจนทุกวันนี้" ลุงเขยเสริมอย่างไม่เกรงใจนัก
เขาเคยเข้าไปในห้องของยายไม่กี่ครั้ง และไม่ชอบบรรยากาศในห้องเอาเสียเลย ในห้องมีแสงตะเกียงสลัวกับกลิ่นอับจางๆ ร่างอ้วนเผละของยายที่กึ่งนั่งกึ่งเอนบนเตียง ข้างๆ เตียงเต็มไปด้วยกล่องเครื่องมือเย็บปักถักร้อย ตะกร้าไหมพรม ด้ายหลายไจ และถุงเศษผ้าสีต่างๆ ราวกับว่ายายตั้งใจจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทำงานจากของพวกนี้ให้ได้มากที่สุด
ผลงานของยายในรูปของผ้าพันคอ หมวก และเสื้อกันหนาวสีสันสดใสที่มักประดับบนร่างของเด็กชายหญิงสองพี่น้องที่เล่นอยู่กับเขาในตอนนี้ (อันที่จริงต้องบอกว่าเด็กผู้หญิงแค่เล่นอยู่ใกล้ๆ เพราะยาฮีมกำลังรบทัพจับศึกกับพี่ชายของเด็กหญิงคนเดียว)
แต่น่าแปลกที่ยาฮีมไม่เคยได้รับของแบบนี้จากยายเลย
"แกบ้าไปแล้วรึไง ถ้าแกกับยาซีนยังอยู่ด้วยกันแต่ส่งลูกไปอยู่บ้านอื่น คิดบ้างไหมว่าพวกชาวบ้านจะพูดอะไรกัน" เสียงของยายดังต่อมาให้ได้ยินชัดเจน ยายชอบขึ้นเสียงแหลมสูง กระทั่งปิดประตูห้องไว้ก็ยังได้ยิน
มีเสียงแม่ตอบเบาๆ จนยาฮีมจับใจความไม่ได้
"แกอย่ามาพูดเลยว่าช่างขี้ปากชาวบ้าน พวกมันพูดกันไม่หยุดก่อนแกจะแต่งงานอีก ยิ่งแกส่งเด็กนั่นไปพ้นหน้ายาซีนก็ยิ่งส่อพิรุธนั่นล่ะ
"ให้อยู่ที่นี่จะดีกับเด็กนั่นมากกว่า อะไรกัน ยาซีนก็ดูจะรักมันดีออก เขายังไม่รู้ไม่ใช่เรอะ
"แล้วไง แกก็ยืนยันไปสิว่าไม่ใช่ ถึงเขาจะสงสัย ถ้าเราไม่ยอมรับซะอย่าง ก็ทำอะไรไม่ได้หรอก
"ทำไม มีเหตุผลอื่นอีกเรอะ
"เขาตบแก โธ่เอ๊ย! ผัวเมียก็ต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้าง แกทำอะไรไม่ดีเองล่ะสิ เขาก็แค่สั่งสอนแกเท่านั้นล่ะ
"อะไร มีอะไรมากกว่านั้น อะไรงั้นเรอะ
"อ้ำอึ้งทำไม มีอะไรอีกก็บอกข้ามาสิ"
ยาฮีมไม่ได้ยินเสียงตอบของแม่เลยสักนิด แต่ครู่ต่อมาก็มีเสียงยายโวยวายหนักกว่าเดิม
"อุบาทว์แท้ๆ! คนอย่างยาซีนน่ะเหรอจะทำอะไรแบบนั้น! แกโกหกแน่ๆ!! อย่านึกนะว่าจะโกหกข้าได้!!"
"ข้าพูดจริงนะแม่ ให้สาบานที่ไหนก็ได้" เสียงสั่นเครือของแม่ดังขึ้นบ้าง
"ต่อให้แกสาบานกับสุริยเทพข้าก็ไม่เชื่อ! แกโกหกข้ามากี่ครั้งแล้ว! คราวไอ้คนเถื่อนนั่นก็ทีนึง! แล้วนี่แกยังมีหน้ามาปั้นน้ำเป็นตัว กุเรื่องส่งเด็กนั่นมารบกวนข้าอีก!!"
"ฉับ!" เสียงที่ดังข้างหูทำเอายาฮีมสะดุ้งโหยง พบว่าตุ๊กตาทหารที่ตนวางไว้บนหลังม้าไม้กลิ้งหลุนๆ ลงจากหลังม้าไปเสียแล้ว ใบหน้าของเด็กชายลูกพี่ลูกน้องที่อายุมากกว่าตนราวสองปียิ้มกว้างอยู่ใกล้ๆ "เจ้าแพ้ ข้าฆ่าแม่ทัพได้แล้ว"
เด็กชายถอนใจน้อยๆ มองตุ๊กตาทหารทั้งสิบตัวกับม้าไม้จำนวนเท่ากันของตนที่ล้มกองระเนระนาด ด้วยฝีมือของตุ๊กตาทหารซึ่งอีกฝ่ายมีน้อยกว่าเขาถึงเท่าตัวหนึ่ง ซ้ำยังเก่าจนสีซีดจาง ผิดกับชุดตุ๊กตาของเขาที่ทาสีสดใสดูใหม่เอี่ยม
"เอาอีกๆ" อีกฝ่ายร้องชวนพร้อมกับกวาดกองทหารของตนไปตั้งทัพใหม่ แต่ยาฮีมส่ายหน้า
"ไม่เล่นละ"
"งั้นเล่นกับข้านะ" เด็กหญิงที่อายุไล่เลี่ยกับเขาเสนอ "ยาฮีมเล่นเป็นพ่อ...นะ"
เด็กชายเหลือบมองตุ๊กตาชายหญิงกับเด็กชายหญิงที่อีกฝ่ายมีอยู่ แล้วเผลอนึกภาพในใจ...เป็นภาพตุ๊กตาผู้หญิงวางราบอยู่บนพื้น มีตุ๊กตาผู้ชายวางทับด้านบน
"ไม่ได้! ยังไงข้าก็ไม่ยอมให้แกส่งเด็กนั่นมาบ้านนี้เด็ดขาด!! เรื่องที่ผ่านมาของแกทำข้าลำบากมากพอแล้ว!!" ยายตวาด ฉุดสติของยาฮีมขึ้นจากภาพนั้น เด็กชายสั่นศีรษะแรงๆ
"ไม่เล่นเหรอ" เด็กหญิงถามอย่างผิดหวัง ยาฮีมรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่แม่เปิดประตูออกมาจากห้องในตอนนั้น เป็นสัญญาณว่าเขาไม่ต้องตอบ และจะได้ไปจากบ้านนี้ในไม่ช้า
"ยาฮีม กลับบ้านกันเถอะจ้ะ"
เด็กชายเก็บตุ๊กตาไม้ของตนเข้าถุงผ้าก่อนจะลุกขึ้น เดินไปข้างๆ แม่
หลังจากอ้อมแอ้มพูดลาป้าตามที่แม่บอกแล้ว ทั้งสองก็ออกไปจากประตูบ้านนั้น กลับมาสู่ถนนลูกรังเล็กๆ ใต้แสงตะวันอ่อนยามเช้า
แม่เดินจูงมือเขาไปเงียบๆ จนกระทั่งยาฮีมตัดสินใจพูดขึ้นเมื่อเห็นเงาลางๆ ของชายชราที่คล้องคันธนูเดินผ่านไปแวบหนึ่ง
"ข้าไปอยู่กับท่านปู่โยเรก็ได้ฮะแม่"
ไปอยู่กับท่านปู่โยเรต้องเป็นเรื่องดีแน่ๆ อันที่จริงเขาไม่ใช่พ่อของพ่อ ปู่จริงๆ ของยาฮีมเสียไปนานก่อนที่เขาจะเกิดเสียอีก แต่แม่ก็บอกให้เด็กชายเรียกนายพรานชราว่าอย่างนั้นตั้งแต่จำความได้ ท่านปู่โยเรมีกระท่อมไม้เล็กๆ ริมชายป่าที่น่าอยู่น่าเล่นเหลือเกิน
"ไม่ได้หรอกจ้ะ" แม่กลับปฏิเสธ ทำเอาเด็กชายหน้าเจื่อนลง "รบกวนท่านปู่นะ"
"แล้วไปอยู่กับยายจะไม่รบกวนยายเหรอฮะ"
"...ก็ยายเป็นญาติของเรานี่จ๊ะ ท่านปู่ไม่ใช่ญาติของเรานี่นา"
แม่พูดเท่านี้แล้วก็เงียบไป ยาฮีมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร จนกลับถึงไร่ที่ 'พ่อ' กำลังดูคนงานทำงานอยู่
'พ่อ' เป็นเจ้าของไร่กว้างขวาง ปลูกทั้งข้าวและพืชผักหลายชนิด มีเงินมากขนาดจ้างคนงานมาทำงานแทนได้สบายๆ แทนที่จะต้องขอแรงชาวบ้านมาช่วยลงแขกอย่างที่เจ้าของไร่ในแถบนี้นิยมทำกันมากกว่า ยาฮีมเคยได้ยินใครๆ พูดกันว่าแม่ช่างโชคดีที่ได้แต่งงานกับ 'พ่อ' ซึ่งทั้งรวยทั้งเป็นคนดี เวลาแม่จูงมือเขาไปที่ไหน พวกผู้หญิงมักจะทักว่าเสื้อผ้า ผ้าคลุมไหล่ ไม่ก็หวีไม้แกะสลักที่เสียบบนเรือนผมสีดำของแม่สวยเหลือเกิน
ทุกครั้งแม่จะชายตาลงมองพื้น ตอบเบาๆ อย่างถ่อมตนว่า "ยาซีนซื้อให้ค่ะ" เหมือนกับทุกสิ่งที่อยู่กับตัวแม่เป็นของยาซีน...ของ 'พ่อ' ของเขาทั้งสิ้น
แม้กระทั่งตัวเขาเองยังชื่อ 'ยาฮีม' คล้ายท่าน เป็นชื่อที่ 'พ่อ' ตั้งให้ เท่ากับว่ายาฮีมเองก็เป็นของของ 'พ่อ' ทั้งเสื้อผ้าที่เด็กชายสวม อาหารที่กินอยู่ทุกวันก็มาจาก 'พ่อ' แม้แม่จะเป็นคนทำทั้งสองอย่าง แต่ผ้ากับเนื้อและผักที่ประกอบขึ้นเป็นพวกมันย่อมมาจากเงินหรือไร่ของ 'พ่อ' อยู่นั่นเอง
"อ้าว ดินาห์ ยาฮีม ไปไหนมาแต่เช้าเชียว" 'พ่อ' ยิ้มแย้มตรงเข้ามาทักทายทั้งสอง ไม่เหมือนกับปีศาจที่ยาฮีมเห็นเมื่อคืนก่อนเลยสักนิด
"ข้าพายาฮีมไปเยี่ยมแม่น่ะค่ะ เห็นพี่บอกว่าแม่ค่อยไม่สบาย"
"แล้วกัน น่าจะบอกก่อน ข้าจะได้ฝากยาบำรุงไปให้"
"ไม่ต้องหรอกค่ะ รบกวนท่านเปล่าๆ" แม่ก้มหน้าตอบอย่างนอบน้อมเช่นเคย
"รบกวนอะไร ก็ญาติๆ กันทั้งนั้น" 'พ่อ' ยกมือขึ้นแตะไหล่แม่ ยาฮีมรู้สึกได้จากมือของแม่ที่จับมือกับตนอยู่ว่าแม่ตัวเกร็งแวบหนึ่ง "ว่าแต่วันนี้มีตลาดนัดนี่นา พวกเราไปซื้อของกันดีไหม ข้าอยากจะหาสร้อยสวยๆ ให้เจ้าอีกสักเส้นสองเส้น"
"ข้าว่าท่านซื้อสร้อยให้ข้าเกินพอแล้วนะคะ" แม่ตอบอ้อมแอ้ม
"อะไรกัน เท่านั้นไม่พอหรอก ไม่รู้หรือยังไง ข้าชอบให้ภรรยาของข้าแต่งตัวสวยๆ" 'พ่อ' โน้มหน้าลงเหมือนจูบหน้าผากแม่เบาๆ ยาฮีมเบือนหน้าไปเห็นพวกเด็กสาวๆ ที่พ่อจ้างมาคัดผักแอบยิ้มน้อยๆ ให้กัน ไม่ก็กำลังกลั้นหัวเราะ คำว่า "น่ารักจัง" เบาๆ หลุดจากปากของใครสักคนในวงนั้น
"แล้วจะได้ซื้อขนมให้ยาฮีมด้วย จริงไหม" เด็กชายหันมาพบใบหน้ายิ้มแย้มของพ่อ "เราชอบผลไม้เชื่อมไม่ใช่หรือ"
ยาฮีมพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น ภาพผลไม้กลมอิ่ม ผิวสีแดงมันวาวด้วยน้ำเชื่อม เสียบไม้เรียงกันห้าลูกผุดขึ้น ขับไล่ภาพปีศาจร้ายเมื่อคืนไปจนหมดในครู่นั้น
"ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปเร็วเถอะ สายๆ เดี๋ยวตลาดจะวายเสียก่อน" 'พ่อ' ตัดบทก่อนจะจูงมือแม่ไป โดยที่แม่จูงมือของเด็กชายอีกต่อหนึ่ง
นับแต่ตอนนั้น ยาฮีมคิดว่า 'พ่อ' เป็นทั้งเทวดาและปีศาจ เหมือนคนต้องคำสาปในตำนานที่เปลี่ยนร่างได้ตามเวลากลางวันกลางคืน และต้องรอวันให้คำสาปนั้นคลายไปเพื่อให้ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่เขาคิดนั้นผิดถนัด...
วันที่เกิดความเปลี่ยนแปลงมาถึง ทว่าไม่ใช่อย่างที่เด็กชายหวังไว้
วันนั้นมาในฤดูใบไม้ผลิของปีที่เขาอายุห้าขวบ ช่วงปีแรกที่ยาฮีมเริ่มไปเรียนหนังสือที่อาราม แม่จะพาเข้าไปส่งตอนสายพร้อมกับข้าวกล่อง และมารับกลับบ้านในตอนบ่าย
"วันนี้ท่านเอมอนสอนข้าร้องเพลงใหม่ด้วยฮะ" เด็กชายเริ่มบอกแม่เมื่อทั้งสองพ้นประตูอาราม
"เหรอจ๊ะ" แม่ก้มหน้าลงถามเขาพร้อมรอยยิ้ม "เป็นยังไง ร้องให้แม่ฟังหน่อยได้ไหม"
ยาฮีมพยักหน้าหงึกหงัก กำลังจะอ้าปากร้องเพลงที่ตนเองเพิ่งร้องได้อยู่แล้วตอนที่เห็นชายคนหนึ่งเดินสวนทางมา และรู้สึกได้ว่าแม่ชะงักเท้า
เด็กชายเงยหน้าขึ้นเห็นแม่จ้องมองชายคนนั้น ดวงตาดำขลับของแม่เบิกกว้าง เขาเลยมองตามสายตาของแม่ไปด้วยความสงสัย พบว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นชายหนุ่มอายุน้อยกว่าพ่อ แต่งกายด้วยชุดทะมัดทะแมงแปลกตา คล้องคันธนูไว้ที่ไหล่เหมือนท่านปู่โยเร เส้นผมสีน้ำตาลยาวระต้นคอ
"ดินาห์..." ชายคนนั้นเรียกชื่อของแม่ก่อน แม่ก้มหน้าลงตอบเบาๆ
"ไม่ได้เจอกันเสียนานนะคะ"
ว่าแล้วแม่ก็เริ่มจูงมือเด็กชาย เดินผ่านชายคนนั้นไปโดยไม่พูดอะไรอีก แต่แล้วก็หยุดยืนนิ่งเมื่ออีกฝ่ายพูดขึ้น
"ช่วงนี้ ข้าอยู่ที่บ้านของท่านอาโยเรกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง เจ้าจะพาลูกมาเล่นก็ได้นะ"
แม่เงียบไปอีกครู่หนึ่ง ขณะที่ยาฮีมเหลียวกลับไปมองชายหนุ่มซึ่งส่งยิ้มน้อยๆ ให้ตน แล้วแม่จึงเริ่มพูด
"ยาฮีม" เด็กชายหันกลับไปเห็นแม่ก้มลงยิ้มให้เขา "วันนี้ก่อนกลับบ้าน อยากแวะไปหาท่านปู่ไหมจ๊ะ"
"ฮะ" ยาฮีมรีบพยักหน้ารับอย่างดีใจ
แม่กับเขาเดินตามชายหนุ่มคนนั้นไปที่กระท่อมของท่านปู่โยเร ระหว่างทาง ชายหนุ่มถามไถ่ชื่อของยาฮีม และแนะนำตัวว่าเขาชื่อ 'อูเนเก็น' เป็นเพื่อนของแม่ ส่วนแม่บอกให้ยาฮีมเรียกเขาว่า 'ท่านอาอูเนเก็น'
ที่นั่น นอกจากท่านปู่โยเรแล้วยังมีชายหนุ่มผมสีแดงอีกคนหนึ่งชื่อ 'ท่านอาชินูยา' ท่านปู่บอกว่าท่านอาทั้งสองจะมาอยู่ที่นี่พักหนึ่ง และหากเด็กชายเหงาก็มาเล่นกับพวกเขาได้ ตราบใดที่ไม่รบกวนพวกเขา
ตั้งแต่วันแรก เด็กชายก็รู้สึกว่าการไปพบท่านอาทั้งสองหลังหมดคาบเรียนกับพระเถระเอมอนในแต่ละวันเป็นเรื่องสนุกเหลือเกิน ท่านอาชินูยาออกจะเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด แต่ก็ทำของเล่นจากดินเหนียว ไม้ หรือหญ้าแห้งสานให้เขาเล่นได้ตั้งหลายอย่าง ท่านอาอูเนเก็นทำของเล่นไม่เก่งเท่า แต่ก็ชอบชวนเขากับแม่กินผลไม้ป่าหรือน้ำผึ้งที่หามาได้ ซ้ำยังเล่นด้วยและลูบหัวเขาบ่อยๆ
แต่ผ่านไปได้แค่ห้าวัน วันเหล่านี้ก็จบลงอย่างกะทันหัน
ในวันที่หก แม่มารับเขาเย็นกว่าทุกวัน ตอนที่แม่มาถึงและท่านอาอูเนเก็นเข้ามาทักทายเหมือนทุกวันนั่นเองจู่ๆ ก็มีเสียงตวาดดังขึ้น
"หลบมาอยู่นี่เอง นังตัวดี!!"
แม่ถอยออกห่างจากท่านอาอูเนเก็นทันที สีหน้าหวาดหวั่นเหลือแสนเมื่อเห็น 'พ่อ' ก้าวยาวๆ เข้ามาหา มือเอื้อมไปคว้าแขนแม่ อีกมือเงื้อจะตบ แต่ท่านอาอูเนเก็นก้าวขึ้นขวางหน้าแม่ ปัดมือของ 'พ่อ' ลงก่อน
'พ่อ' จ้องหน้าท่านอูเนเก็นเขม็ง คิ้วหนาของอีกฝ่ายก็ขมวดถมึงทึงแบบที่เด็กชายไม่เคยเห็นมาก่อน
"เรื่องของผัวเมีย แกอย่ามายุ่ง!" 'พ่อ' เข่นเสียง
"ถึงอ้างตัวว่าเป็น 'ผัว' ก็ไม่สิทธิ์ทำร้ายผู้หญิง"
"แล้วแกมีสิทธิ์อะไรมายุ่งกับครอบครัวข้า นี่เมียข้า นั่นลูกข้า" 'พ่อ' พูดพร้อมกับชี้ไปทางแม่ และชี้มาทางเขา ก่อนจะหันกลับไปแลกสายตากับอีกฝ่าย "แกล่ะเป็นใคร ไอ้คนเถื่อน! กล้าดียังไงมาสั่งสอนข้า หลีกไปซะ!"
ท่านอาอูเนเก็นไม่ตอบ แต่ก็ยังยืนบังหน้าแม่ที่ขดตัวกลมอยู่ด้านหลังไม่ยอมก้าวไปไหน
"นังนั่นเป็นเมียข้า...ทุกคนในหมู่บ้านนี้รู้กันทั้งนั้น พิธีแต่งงานก็ทำเรียบร้อยถูกต้องตามธรรมเนียม ข้ามีสิทธิ์ในตัวมันทุกอย่าง" 'พ่อ' เริ่มพูดกราดเกรี้ยวขึ้น "ร่านขนาดระริกระรี้กับชู้ได้ต่อหน้าลูกแบบนี้ ขืนปล่อยไว้จะไม่กำเริบเสิบสานถึงขนาดเอากันต่อหน้าเด็กสักวันเรอะ!!"
ยาฮีมยืนนิ่ง ฟังคำพูดของพ่อโดยไม่เข้าใจนัก ร่าน...ระริกระรี้...ชู้...กำเริบเสิบสาน...ทั้งหมดนี่หมายความว่ายังไง ท่านอาชินูยารั้งตัวเขาออกห่าง ท่านปู่โยเรกระซิบบอกให้เขาตามเข้ามาในกระท่อม กระนั้นเขายังได้ยินแม่ขึ้นเสียงกับพ่อเป็นครั้งแรกดังไล่หลังมา
"คนที่กล้าทำเรื่องโสโครกอย่างนั้นก็คือท่านเองไม่ใช่หรือ!!"
"ว่าอะไรนะ! ดินาห์...นี่เจ้าหมายความว่ายังไง!!" เสียงท่านอาอูเนเก็นถามอย่างตกใจเป็นเสียงสุดท้ายที่เด็กชายได้ยินถนัดก่อนประตูจะปิดลง แม้นหลังจากนั้นเขาจะได้ยินเสียงพูดที่ไม่อาจฟังได้ศัพท์ ทั้งกรีดร้อง กระโชกโฮกฮาก คล้ายเสียงจากอีกฟากห้องแต่อึกทึกยิ่งกว่า
ยาฮีมยกมือขึ้นปิดหู น้ำตาไหลพราก ท่านปู่โยเรกอดเขาไว้เงียบๆ แต่เสียงพึมพำปลอบของท่านก็ไม่อาจสู้เสียงตะโกนจากด้านนอกได้เลย
ผ่านไปอีกพักหนึ่ง เสียงเหล่านั้นจึงได้เงียบไป ท่านอาชินูยาเปิดประตูเข้ามา
"ยาฮีม คืนนี้ค้างกับพวกเราที่นี่นะ"
หากเป็นเวลาปกติ เด็กชายคงจะดีใจจนกระโดดตัวลอย แต่พอได้ยินคำพูดนั้น ใจของเขากลับร่วงวูบ ไพล่เป็นห่วงอีกคนหนึ่ง
"แล้วแม่ล่ะฮะ"
"แม่เจ้าจะกลับไปกับพ่อ แต่ฝากให้เจ้าอยู่ที่นี่ก่อน"
"ไม่เอา!" ยาฮีมส่ายหน้าแรงๆ "ไม่เอา ข้าไม่อยู่! ข้าจะอยู่กับแม่!!"
"ยาฮีม อย่าดื้อสิ" ท่านอาชินูยาคุกเข่าลงตรงหน้าเขา "แม่บอกว่าถ้าเจ้าเป็นเด็กดี พรุ่งนี้แม่จะกลับมารับ เข้าใจไหม"
เด็กชายยังส่ายหน้าต่อไป แม้นจะได้แต่สะอื้นถี่ๆ จนพูดอะไรไม่ออกอีก
"ตกลงเกิดอะไรขึ้นรึ" ท่านปู่โยเรถามจากข้างหลังเขา
"อูเนเก็นโมโหมาก กระโจนเข้าไปชกไอ้สั...สามีของดินาห์ จะฆ่ากันรอมร่อแล้ว" ท่านอาชินูยากลั้นเสียงตอบ เปลี่ยนคำพูดแทบไม่ทันเมื่อนึกได้ว่ามีเด็กอยู่ด้วย "ดินาห์ไม่อยากให้มีเรื่อง เลยบอกว่าจะกลับไปกับเขา แต่ฝากยาฮีมไว้ที่นี่ก่อน"
ประตูเปิดออกอีกครั้ง ท่านอาอูเนเก็นนี่เองที่ก้าวเข้ามา เด็กชายอาศัยจังหวะนั้นสะบัดตัวจากท่านอาชินูยาที่คุกเข่าจับไหล่ของเขาอยู่ วิ่งพรวดไปที่ประตู แต่ท่านอาอูเนเก็นกลับคว้าแขนของเขาไว้ได้
"ยาฮีม! จะไปไหน!"
"ปล่อย! ข้าจะไปกับแม่!!"
"แม่บอกให้เจ้าอยู่ที่นี่นะ"
"แต่ถ้าแม่อยู่กับพ่อ...เดี๋ยวพ่อก็ทำร้ายแม่อีก!" เด็กชายร้องไห้โฮ "ตอนกลางคืนพ่อเป็นปีศาจ! พ่อทำร้ายแม่! ข้าเคยเห็น!!"
ท่านอาอูเนเก็นเงียบไป แม้จะยังจับแขนเขาไว้แน่น ปล่อยให้ยาฮีมละล่ำละลักไปเรื่อยๆ
"ทำไมไม่มีใครฆ่าปีศาจ! ทำไมไม่มีใครช่วยแม่! ทำไมท่านอาอูเนเก็นถึงปล่อยแม่ไปกับพ่อ!! ทำไมถึงไม่ช่วยแม่!!"
"ยาฮีม...ข้า..."
มือที่จับแขนเขาไว้เผลอคลายออกในชั่วขณะหนึ่ง เด็กชายรีบสะบัดและวิ่งไปให้เร็วที่สุดเท่าที่สองขาเล็กๆ จะพาไปได้
อีกสักพักบนเส้นทางแคบๆ ในป่าละเมาะ เขาก็เห็นแม่เดินก้มหน้าตามหลัง 'พ่อ' ที่จับข้อมือเล็กๆ นั้นไว้เช่นเดิม
"แม่!!" เสียงตะโกนของเด็กชายเรียกทั้งสองให้หันขวับกลับมา ยาฮีมโผเข้าหาอ้อมแขนของแม่ ซบหน้ากับกระโปรง ร้องไห้จนผ้าเปียกชื้น
"ยาฮีม วันนี้แม่บอกให้ค้างกับท่านปู่ไง"
"ไม่เอา...ข้าจะอยู่กับแม่--" พูดได้เท่านั้น ก็มีมือหนาใหญ่คว้าข้อมือข้างหนึ่งของเด็กชาย กระชากเขาให้ซวนเซออกห่างจากแม่
"อยากอยู่กับแม่นักรึ ได้" ยาฮีมเงยหน้าขึ้นเห็นสีหน้าเหี้ยมเกรียมของปีศาจร้ายของ 'พ่อ' ทำให้เลือดที่ไหลซึมจากมุมปากชวนให้นึกว่าเจ้าของใบหน้านั้นไปกัดดื่มเลือดจากใครที่ไหน มากกว่าจะเป็นเลือดของตนเอง "ปล่อยให้ไปอยู่กับไอ้คนเถื่อนพวกนั้นดีๆ ไม่ชอบ ยังรนกลับมาหาที่เองอีก"
"ไม่นะคะ!" แม่ร่ำร้อง "ท่านจะทำอะไรข้าก็ได้...แต่อย่าทำร้ายยาฮีมเลย"
พูดได้แค่นั้น แม่ก็ต้องทรุดลงร้องครางอย่างเจ็บปวดเมื่อถูกบิดข้อมือ
"ที่เจ้าห่วงใยมันมากนัก เพราะมันไม่ใช่ลูกของข้าใช่ไหม" พร้อมๆ กันนั้น 'พ่อ' ก็ตะคอก "เพราะมันเป็นลูกของไอ้คนเถื่อนนั่นใช่ไหม!!"
ไม่มีคำตอบจากแม่ที่ก้มหน้าลง 'พ่อ' จึงแค่นเสียงก่อนจะฉุดลากทั้งสองต่อไปตามทาง
เย็นวันนั้น...ยาฮีมพบกับฝันร้ายที่สุดในชีวิต
'พ่อ' ผลักเขาลงฟุบกับพื้นห้องนอน ปิดประตูลงกลอนด้วยกุญแจเหล็ก แล้วจึงฉุดกระชากแม่ต่อไปจนถึงเตียง เหวี่ยงร่างแม่ลงจนเตียงหลังเก่าส่งเสียงดังลั่นประหนึ่งจะหักพังในชั่วครู่นั้น
แม่ร่ำร้อง อ้อนวอนให้ 'พ่อ' หยุด อ้อนวอนให้ 'พ่อ' ปล่อยเขาออกไปจากห้อง พอ 'พ่อ' เมินเฉยเสียก็อ้อนวอนให้ยาฮีมหลับตาลง ปิดหูปิดตาอย่ารับรู้ จนกว่าฝันร้ายจะผ่านไป
ทว่าดวงตาและหูของยาฮีมไม่ยอมฟัง ใต้แสงตะเกียงที่ 'พ่อ' จุดขึ้น เขาเห็น 'พ่อ' กลับกลายร่างเป็นปีศาจเต็มสองตาที่เบิกโพลง ปีศาจที่ดุร้าย โหดเหี้ยมรุนแรงกว่าที่เคยเห็นนัก แม้นน้ำตาที่ไหลหลั่งจะทำให้ภาพเบื้องหน้าเลือนรางลงบ้าง หูได้ยินเสียงตะโกนกราดเกรี้ยวที่กลบเสียงร่ำร้องของแม่จนสิ้น
"แกบอกว่าข้าโสโครกนักใช่ไหม!...ได้ ข้าจะแสดงให้ดูว่าข้าโสโครกได้ถึงขนาดไหน!!
"หน้าตามันเหมือนไอ้คนเถื่อนนั่นไม่มีผิด! ถึงอย่างนี้แกยังจะไม่ยอมรับอีกรึ!!
"แกหลอกให้ข้าเลี้ยงลูกของมันมาตั้งหลายปี...แล้วทำไมแค่ให้ลูกกับข้าสักคนถึงทำไม่ได้!!
"เพราะแกไม่ได้รักข้าใช่ไหม!! แกถึงไม่ยอมให้ลูกของข้าเกิดมา!! ตอบมาสิ!!!"
ยาฮีมจำไม่ได้ว่าทั้งภาพและเสียงน่าสะพรึงกลัวเหล่านั้นจบสิ้นลงเมื่อไร หรืออย่างไร ในความทรงจำเลือนรางช่วงหนึ่ง เด็กชายรู้สึกเหมือนตนเองรวบรวมความกล้าวิ่งเข้าไปร้องบอก 'พ่อ' ให้ปล่อยแม่ เพียงเพื่อถูกแขนใหญ่ฟาดกระเด็นกับพื้นและสลบไป หรือไม่เช่นนั้นเขาก็เพียงฝันไปเมื่อบังคับตนเองให้ปิดหูปิดตาไม่รับรู้ได้ในที่สุดเท่านั้น
แต่ไม่ว่าจะเป็นทางไหน เมื่อรู้สึกตัวอีกที เขาก็เห็นแม่สวมเสื้อผ้าชุดเดิมซึ่งยับยู่ยี่ คอเสื้อขาดเป็นรอยกว้าง ถือตะเกียงคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ทั้งๆ ที่น้ำตายังไหลเป็นทางบนแก้ม คราบเลือดแห้งยังติดกรังที่จมูกและปากไม่ทันได้เช็ด ผมเผ้ายังยุ่งเหยิงไม่ทันได้หวี
เด็กชายแทบร้องไห้ออกมาแล้ว แต่แม่จ่อนิ้วสั่นเทาไว้ที่ริมฝีปากบอกให้เขาเงียบ จับมือเขาไว้ ดึงให้เขาลุกขึ้นยืนอย่างเงียบกริบที่สุด ก่อนจะตรงไปที่ประตู เด็กชายเหลือบเห็นร่างใหญ่นอนเหยียดยาวบนผ้าปูเตียงยับย่น รอยเลือดสีคล้ำเปื้อนผ้าสีอ่อนเป็นหย่อมเล็กๆ ประปรายบนเตียงด้านที่ว่างอยู่ ทั้งหมอน ผ้าห่ม และเสื้อผ้าของ 'พ่อ' เกลื่อนกระจัดกระจายบนพื้น ร่างอันเปลือยเปล่าน่ารังเกียจส่งเสียงกรนดังทำลายความเงียบ ดั่งเสียงแตรประกาศศักดาและชัยชนะต่อสองผู้พ่ายแพ้ที่ได้แต่เงียบงันไม่กล้าส่งเสียงใด
แม่ส่งตะเกียงให้เขาถือ ก่อนจะหยิบพวงลูกกุญแจที่เด็กชายเห็นพ่อแขวนไว้ที่เข็มขัดเป็นประจำขึ้นมา แม่เลือกกุญแจประตูห้องนอนจนเจอ สอดมันเข้าไปในรูกุญแจแล้วบิดจนได้ยินเสียงกริกที่แผ่วเบาที่สุด
พอออกจากห้องแล้ว แม่ก็พาเขาไปที่ประตูหน้าบ้าน ปลดกลอนประตู และรั้วบ้านด้วยกุญแจทีละดอก ทีละดอก จนออกไปนอกเขตรั้วบ้านได้สำเร็จ
และแล้วสองแม่ลูกก็จูงมือเดินไปหาที่พึ่งพิง โดยมีเพียงตะเกียงดวงเดียวเป็นเครื่องนำทางในราตรีนั้น
- To be continued -
Part II - Changes
Note: นี่คงเป็นไซด์สตอรี่ที่แรงที่สุดยิ่งกว่า Ravished เสียอีกที่ผมเขียนออกมา ตอนเขียนเองผมยังเครียดจนคิ้วผูกโบว์เลยทีเดียว
แต่เพื่อให้เห็นว่าภูมิหลังของยาฮีมเป็นยังไง ผมก็ตั้งใจจะเขียนออกมา เพราะอยากให้ผู้อ่านได้เข้าใจเรื่องเบื้องหลังในในยาฮีมมากขึ้นกว่านี้ เพราะลักษณะการพูดจาของยาซีนตกทอดมาถึงยาฮีมเวลาลมขึ้น ส่วนดินาห์ แม่ของยาฮีมกับโมโนก็หน้าตาเหมือนโมโน เรียกได้ว่ายาฮีมกับโมโนใน Ravished เป็นภาพสะท้อนของยาซีนกับดินาห์ในความทรงจำอันเลวร้ายของยาฮีมนี่เอง
อันที่จริงตอนร่างไซด์สตอรี่ของยาฮีมเป็นบทบรรยายล้วนๆ มีคำพูดน้อยมาก แต่อาจเรียกได้เขียนไปแล้วไอเดียตัน บวกกับรู้สึกว่าการเขียนสไตล์นั้นไม่สามารถถ่ายทอดความคิดความรู้สึกได้ดีเท่ากับการทำให้เห็นในฉากต่างๆ ว่าคนรอบข้างมีอิทธิพลต่อยาฮีมในเวลาต่อมายังไง ผมเลยปรับแก้ กระทั่งได้ยาวหลายตอนจบสำหรับไซด์ยาฮีมเพียวๆ ชุดนี้ล่ะครับ และก็พยายามมองในมุมมองของยาฮีมที่เป็นเด็กเป็นหลัก ใส่ความคิดเห็นของยาฮีมตอนโตที่เฝ้ามองตะเกียงดวงนี้ลงไปบ้างถ้าจำเป็น
ที่น่าเสียดายคือตอนนี้ดึงบทของอูเนเก็นกับชินูยา หรือกระทั่งปู่โยเรออกมาไม่ได้มากนัก แต่ทั้งสามยังมีโอกาสแสดงบทต่อๆ ไปในตอนหน้า เลยพิจารณาลงเท่าที่จำเป็นก่อน เพื่อไม่ให้หนึ่งตอนมีความยาวจนเกินไป
สำหรับชื่อตัวละคร อูเนเก็นเป็นภาษามองโกลแปลว่าหมาจิ้งจอก ตั้งให้เข้าคู่กับชินูยาที่เป็นหมาป่า ยาซีนตั้งง่ายๆ เพื่อให้เสียงเข้ากับยาฮีม (แล้วผมก็มาพบในทีหลังว่าเป็นชื่อบทสวดของอาหรับเพื่อขับไล่วิญญาณร้าย) ส่วนดินาห์ เป็นชื่อภาษาฮีบรู แปลว่า "การพิพากษา" (ความหมายนี้ผมมาพบทีหลังเช่นกัน ^^;;; ) มาจากพระคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเก่า เป็นชื่อของลูกสาวคนเดียวของจาค็อบ (บรรพบุรุษของโมเสส) ที่ถูกขืนใจ ต่อมาพี่ชายของเธอฆ่าชายที่ล่วงเกินเธอ และเลี้ยงลูกที่เกิดจากเธอเหมือนลูกแท้ๆ ของตน ผมเห็นว่าสถานการณ์ของดินาห์ในพระคัมภีร์กับแม่ของยาฮีมและโมโนมีความคล้ายคลึงกันอยู่ จึงได้นำชื่อดินาห์มาใช้ครับ