Dark Mono's Side Story
Fragile

 

จงตื่นเดี๋ยวนี้...

เสียงแหบพร่ากระซิบซาบดั่งเสียงขู่ของงู ยังผลให้เปลือกตาของเด็กสาวที่นอนหนุนตักเด็กหนุ่มกลางป่าลืมขึ้น เผยดวงตาดำลึกล้ำไร้แววเยี่ยงตาอสรพิษ คำบัญชาที่มีเพียงเธอได้ยินกระจ่างชัดในใจ

เจ้าของดวงตาลุกขึ้นนั่ง มือคว้ารองเท้าแตะสานนอกผ้ารองนอน ยืดขาออกสวมแล้วจึงลุกขึ้นยืน ตรงไปค้นกองสัมภาระหาถุงหนังเล็กๆ ที่เป็นเป้าหมายมาคล้องคอ จากนั้นก็ก้าวออกจากที่พักแรมไปในป่ามืดมิดที่ตนกลับมองเห็นชัดเจน สู่ริมลำธารที่เธอรู้ว่าอยู่ที่ใด แม้นจะไม่เคยเห็นเส้นทางมาก่อนด้วยตาของตน

เมื่อถึงแล้วเด็กสาวก็ก้มลงนั่งยองๆ ที่ริมฝั่ง ถอดสายถุงหนังจากคอก่อนจะแก้ปากถุง ให้เม็ดยาร่วงพรูลงสู่น้ำ

ยาพวกนี้เองที่เธอชิงชัง ยาที่กดสติของเธอจนเลือนราง ราวกับคนเป็นอัมพาตที่ได้แต่หลับๆ ตื่นๆ เฝ้าดูเหตุการณ์ผ่านสายตาของเด็กสาวอีกคนหนึ่งตลอดมาตามแต่จะเห็น ก่อนที่ความรู้สึกทางโลกจะค่อยๆ บังเกิดและกัดกร่อนฤทธิ์ยาที่คุมขังเธอไปทีละน้อยๆ กระทั่งกลับเป็นอิสระได้เป็นครั้งคราว

และหากปราศจากมัน...รวมทั้งรวบรวมอำนาจมืดได้มากกว่านี้ เธอก็คงจะกลายเป็นเจ้าของร่างแทนอย่างสมบูรณ์ในไม่ช้า

เมื่อถุงหนังกลับแฟบเบา เด็กสาวก็ทิ้งมันลงน้ำอย่างไม่ลังเลแล้วกลับหลังหัน เตรียมตัวทำอีกหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จสิ้น

อันที่จริงเธอรู้ว่ายังเหลือยาอีกสี่เม็ดในถุง ทว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว การทิ้งความหวังเล็กๆ น้อยๆ ให้คนที่เกือบสิ้นหวัง เพียงเพื่อให้ผิดหวังยิ่งกว่าเมื่อพบว่าต่อให้มีความหวังอยู่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ช่างเป็นความรู้สึกที่แสนหวาน ดั่งน้ำอมฤตสำหรับองค์เทพของเธอ

จากนั้นก็นำดาบกลับมา...

เงามืดในป่าย่อมบอกเล่าทุกสิ่งที่ผู้มีอำนาจของเทพแห่งความมืดต้องการล่วงรู้ เช่นเดียวกับที่บอกเด็กสาวว่าถ้ำซึ่งซ่อนกุญแจต่อการคืนชีพของนายเหนืออยู่ที่ใด

ภายในซอกถ้ำ ดาบศักดิ์สิทธิ์นิ่งสนิทในฝัก ประหนึ่งนักรบที่ถูกพันธนาการจนไร้พิษสง หากเป็นใบดาบเปลือย...แค่ประกายที่สะท้อนจากเนื้อเหล็กสีเงินเพียงแวบอาจทำให้พละกำลังของเธอเหือดหายจนต้องคลายการควบคุมร่างโดยฉับพลัน

ทว่าในสภาพนี้ มือเรียวบางแตะด้ามและฝักดาบเย็นเฉียบได้ง่ายดาย ก่อนจะประคองดาบเดินย้อนกลับทางเดิมสู่ที่พักแรมราวกับมันเป็นท่อนไม้ธรรมดาๆ

เธอวางดาบพิงต้นไม้ต้นหนึ่งริมที่พักแรม จากนั้นจึงถอดรองเท้าวางไว้ที่เดิม แล้วทรุดกายลงนั่งใกล้กับคนที่นั่งหลับไม่รู้เรื่องใต้มนต์สะกดของตน

ยังเหลือเวลาอีกสักพักกว่าอำนาจควบคุมร่างจะสลายไป เด็กสาวจึงเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ดวงหน้าที่ยังหลับอยู่ เพ่งพินิจให้ชัดสมกับที่ไม่เคยเห็นใกล้ๆ เลยสักครั้ง

...ก็แค่เด็กหนุ่มธรรมดาๆ คนหนึ่ง ยอมรับว่าหน้าตาดูดี แต่ก็ไม่ใช่สิ่งน่ามองที่จะคงอยู่ตลอดไปชั่วกัปกัลป์ อีกห้าสิบหกสิบปีก็คงไม่เหลือเค้าความอ่อนเยาว์ กลายเป็นตาแก่ผิวหนังเหี่ยวย่นผมหงอก ฟันฟางหักไปอย่างน้อยสองสามซี่ ไม่เห็นใช่สิ่งที่เธอจะปลาบปลื้มไปด้วยเหมือนตัวเธออีกคนหนึ่งเลย

...ก็แค่มนุษย์คนหนึ่ง โง่เขลา เปราะบาง หลงละเมอเพ้อพกในความรู้สึกงมงายพอกับตัวเธออีกคนหนึ่ง เป็นมนุษย์ที่หากเธอจะฆ่าเสียตอนนี้ก็คงตายโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

...ก็แค่เครื่องมือชิ้นหนึ่ง

เธอหลับตาลง ลองเลื่อนริมฝีปากไปสัมผัสกับเขาครู่หนึ่งแล้วก็รีบถอยออกห่าง ยกนิ้วขึ้นแตะที่ริมฝีปากของตนด้วยสีหน้าเรียบเฉย

...มันก็แค่สัมผัสไร้สาระ แค่การแลกของเหลวที่ในบริบทอื่นพวกมนุษย์กลับรังเกียจเหลือแสน แต่พอใช้คำว่า 'รัก' เข้ามาเกี่ยวข้อง ก็กลับกลายเป็นกริยาสัญลักษณ์ของความรู้สึกที่พวกมนุษย์เชิดชูบูชาเสียเต็มประดา ทั้งๆ ที่ต่อให้ปราศจากความรัก ทั้งริมฝีปากและร่างกายก็เป็นสิ่งที่เพศชายใช้กำลังครอบครองได้ง่ายดาย ดูอย่างชายที่ตัวเธออีกคนหนึ่งเห็นว่าเป็นพี่แท้ๆ เป็นตัวอย่างที่ดีเกินพอ

สัญชาตญาณของมนุษย์ก็มีแค่นี้ กับเด็กหนุ่มตรงหน้าที่เพ้อพร่ำพลอดรักกับตัวเธออีกคนหนึ่งเสียจนเธอยังเอือมระอาก็คงไม่ต่างกัน เมื่อเธอร่ายมนต์สะกดใส่เขาเมื่อใด...ความรักก็จะไร้ความหมายไปทันทีเมื่อเทียบกับความต้องการขั้นพื้นฐานที่สุดที่เดรัจฉานทุกชนิดพึงมี

...รอถึงคืนจันทร์เพ็ญนี้...

น้ำเสียงแหบพร่าย้ำก่อนจะเลือนหาย ทิ้งเธอไว้กับความคิดของตน

เมื่อถึงคืนจันทร์เพ็ญนี้ ยามคราสเริ่มกลืนกินจันทรา มนต์สะกดก็จะกลืนกินมนุษย์ผู้นี้ และเธอก็จะต้องทอดร่างเบื้องหน้าเขา รอรับปฏิสนธิทายาทผู้สืบสายเลือดโลหิตดำและจิตวิญญาณอันดำมืด เหมาะแก่การเป็นร่างจุติขององค์เทพของเธอ

สุดท้าย...คำว่ารักก็จะมีค่าเพียงการสมสู่สืบทอดเผ่าพันธุ์และสนองราคะ

"หรือเจ้า...จะทำให้ข้าแปลกใจได้กันนะ" เด็กสาวแค่นยิ้ม กระซิบเบาๆ กับหูที่ไม่รับรู้เสียงใดในยามนี้ "พี่คนจรของโมโน...ความรักอันเปราะบางของเจ้ากับนางจะมีอำนาจเหนือมนตราของเราได้หรือเปล่า

"เมื่อถึงเวลานั้น...ข้าจะขอดูสักหน่อย"


...เปราะบางจริงๆ เสียด้วย...

เด็กสาวลอบเหยียดยิ้มพร้อมกับนึกในใจ ขณะที่ข้อมือทั้งสองถูกรวบไปมัดติดกับหลักไม้เหนือศีรษะ เมื่อถึงเวลาจริงๆ ความรู้สึกที่เรียกว่า "รัก" ก็พ่ายต่อสัญชาตญาณกับมนต์มายาอย่างง่ายดาย

ไม่ใช่เธอหรอกที่ถูกพันธนาการ เขาต่างหาก

โมโนอีกคนก็เช่นกัน ถูกพันธนาการไว้ด้วยความรู้สึกแสนเปราะบาง และกำลังร้องไห้ไม่หยุดหย่อน กระทั่งในเวลาต่อมา เสียงร้องจากปากของตัวเธอผู้ครองร่างก็ยังกลบเสียงสะอื้นที่ดังซ้ำๆ ในใจไม่ได้

ร้องไห้ไปมันช่วยอะไรไม่ได้หรอก โมโนเอ๋ย โลกนี้ไม่ได้สวยงามอย่างที่เจ้าคิด ดูสิ กระทั่งคนรักที่เจ้าเทิดทูนบูชาก็ไม่ได้ต่างอะไรกับพี่ชายที่เจ้าผิดหวัง มนุษย์ที่เปราะบางก็เป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น

ถ้ายิ่งยึดติดกับความรู้สึกที่เปราะบาง ก็เหมือนกำแก้วแน่นจนแตกคามือ ที่จะเจ็บก็มีแต่มือเจ้าเท่านั้นแหละ

ลมหายใจถี่กระชั้นของร่างที่โน้มกายเหนือเธอบอกว่าใกล้เวลาที่เธอรอคอย จันทร์เต็มดวงบัดนี้อันตรธานหายไปในคราสดั่งคืนเดือนดับ ทิ้งทั้งสองไว้ภายใต้เงามืดรอบด้าน

...ฤกษ์จุติมาถึงแล้ว...

แผนการเสร็จสิ้นอย่างง่ายดาย เด็กสาวหลับตาลง กรีดเสียงร้องแหลมประหนึ่งระฆังสัญญาณ และได้รับเสียงจากเหล่าภูตพรายในความมืดที่ห้อมล้อมอยู่ตอบกลับเซ็งแซ่ สดุดีการสังเวยและกำเนิดของผู้ทรงอำนาจแห่งอสุรเทพเหนือกว่าผู้ใด

เมื่อนั้นเองที่เธอคลายมนต์ครอบงำร่างของตนขึ้นมาด้วยความคิดชั่วแวบ

...ดูเสียให้เต็มตา โมโน ดูสิใบหน้าของคนที่รักเจ้า คนที่บอกว่าจะไม่ทำอะไรที่เจ้าไม่อยากให้ทำ เผื่อมันจะทำให้เด็กอย่างเจ้าตาสว่างขึ้นได้บ้าง...

โมโนเห็นใบหน้านั้นแล้ว ความเสียใจและหวาดกลัวถาโถมเข้ามาจนเธอสัมผัสได้ แล้วเธอจึงกดจิตของเด็กสาวอีกคนไว้ เมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธที่จะรับรู้ต่อไป

ไม่เอาอีกแล้วเหรอ ก็ในตอนนั้นเจ้าเอาแต่ร้องบอกให้ข้าปล่อยเจ้าออกไปเองนี่นา

"เมื่อกี้เจ็บเหรอ" เสียงถามจากข้างๆ เรียกเธอให้หันไป ส่งรอยยิ้มตอบแววกังวลในดวงตาของเด็กหนุ่ม แม้นตนเองจะประหลาดใจขึ้นมา

กระทั่งใต้มนต์สะกด ยังมีแก่ใจมาห่วงใยกันด้วยหรือ

"แค่เหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้นล่ะค่ะ ท่านล่ะคะ" เธอปั้นรอยยิ้ม

"ก็เหนื่อยอยู่"

"แล้วมีความสุขไหม" เด็กสาวตั้งคำถาม

เขาไม่ได้ตอบในทีแรก กลับรั้งเธอให้นอนลงเคียงข้าง คลี่ผ้าห่มคลุมกายให้ ก่อนจะกอดเธอไว้ในอ้อมแขนอันอบอุ่นจนส่วนลึกของจิตกระตุกวูบอย่างไม่คาดฝัน เมื่อนั้นเองคำตอบที่แสนสั้น ซ้ำยังฟังแสนห้วนตามมาให้ใจชื้นขึ้นบ้าง

"...ถามได้"

"มีความสุข...มากกว่าครั้งไหนๆ หรือเปล่าคะ" เธอถามต่อเพื่อขับไล่ความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดนั้นออกไป "มากกว่าทุกครั้ง...มากจนต้องการแต่ข้าคนเดียวเท่านั้น"

"จะเมื่อไร...ข้าก็ต้องการแต่เจ้าคนเดียวนั่นแหละ โมโน" ท้ายคำตอบคือจุมพิตแผ่วเบาบนหน้าผาก "นอนเสีย พรุ่งนี้เรายังต้องรีบไปนะ"

ชั่วเสี้ยววินาทีนั้น เด็กสาวไม่รู้ว่าตนควรรู้สึกอย่างไร แต่เมื่อได้ยินเสียงแหบพร่าแผ่วเบาก็ให้ระลึกได้ว่าหน้าที่ของเธอครั้งนี้เสร็จสิ้นลงด้วยดี

...เจ้าทำได้ดีมาก...

คำชมนั้นเรียกรอยยิ้มหยันมาที่ริมฝีปากบาง ก่อนที่เธอจะคลายอำนาจจากร่างเนื้อ ปล่อยให้ตนเองจมลงสู่ก้นบึ้งและโมโนกลับคืนมารับความเป็นจริง

โมโนหลั่งน้ำตาออกมาอย่างที่คิด และร้องไห้เงียบๆ นิ่งนาน เธอรู้ว่าเด็กสาวเจ็บช้ำเพียงไร รู้ว่าโมโนทั้งตั้งคำถามทั้งต่อว่าคนที่เธอเชื่อใจที่สุดแต่กลับหักหลังเธอ

แต่โมโนไม่รู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร และเธอก็ตั้งปณิธานว่าจะไม่ให้โมโนรู้ ความรู้สึกแปลบวาบในช่วงเวลาที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของเขาจะเป็นความลับสำหรับเธอเท่านั้น ช่วงเวลาที่ทำให้เธอเจ็บแค้นในใจ เมื่อนึกถึงเศษเสี้ยวหนึ่งในความทรงจำ...

- - - - -

"เป็นยังไงบ้าง" เสียงถามอ่อนโยนดังขึ้นข้างหู ไม่ใช่กับเธอ แต่กับโมโน ในขณะนั้นเธอเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ คอยจับตามองและเงี่ยหูฟังขณะสะสมอำนาจขึ้นเรื่อยๆ เพื่อหาโอกาสทำตามแผน

"นี่ท่านจะถามทุกครั้งเลยหรือคะ" โมโนตอบขวยเขินกับเด็กหนุ่มที่นั่งพิงต้นไม้ ศีรษะของเธอซบพิงบ่าของเขา ส่วนร่างอยู่ในอ้อมแขนที่มอบความอบอุ่นให้ แม้นมีเพียงผ้าห่มผืนเดียวที่คลุมรอบกายทั้งสอง

"ก็เวลาแบบนี้ดูเจ้าไม่ค่อยพูดจา ข้าเลยกลัวว่าตัวเองทำตัวไม่ดีหรือเปล่าน่ะสิ"

"ก...ก็ข้าไม่รู้จะพูดอะไรนี่คะ" เด็กสาวตอบตะกุกตะกัก ดวงหน้ายิ่งร้อนผ่าว

"บอกว่าอยากหรือไม่อยากให้ทำอะไรก็ได้ ข้าไม่ได้อ่านใจเจ้าออกนี่นา"

โมโนนิ่งเงียบไป อีกฝ่ายเลยเลื่อนใบหน้ามาจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผาก

"มีอะไรก็บอกมาเถอะนะ ไม่เห็นต้องอายเลย"

"อืม...ตอนนี้แค่กอดข้าไว้ก็พอค่ะ"

"แบบนี้น่ะหรือ" วงแขนรอบร่างบอบบางรัดกระชับขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็นุ่มนวลยิ่งจนไม่ได้รู้สึกอึดอัด

"ค่ะ" โมโนซบหน้ากับแผ่นอกอุ่นก่อนจะหลับตา "กอดไว้แบบนี้แหละ...กอดจนกว่าข้าจะหลับไป ข้าชอบเวลาที่ท่านกอดข้าไว้แบบนี้ที่สุดเลย"

"ถ้าอย่างนั้น...ข้าจะกอดเจ้าไว้แบบนี้ก่อนหลับทุกครั้งเลยดีไหม" เขากระซิบ

"...ค่ะ"

และเขายังกอดโมโนไว้ แม้หลังจากที่อีกฝ่ายหลับไปแล้ว หรือกระทั่งหลังตนเองหลับไป ราวกับว่าตนเองก็ต้องการให้ร่างน้อยอยู่ในอ้อมกอดแนบแน่นเนิ่นนานที่สุด

- - - - -

ถ้าไม่ใช่เพราะมนต์สะกดของเธอ...คงไม่มีวันที่ผู้ชายคนนั้นจะครอบครองร่างของเธอกับโมโนด้วยความรุนแรงถึงขนาดนี้

แต่กระทั่งอยู่ในมนต์สะกดของเธอ...ใจส่วนลึกของเขายังคำนึงถึงความรู้สึกของโมโน ถามไถ่ด้วยความห่วงใย

แล้วกระทั่งอยู่ในมนต์สะกดของเธอ...เขายังไม่ลืมคำพูดที่ให้ไว้กับโมโน

...ยังกอดร่างของโมโนอย่างอ่อนโยนแบบนั้น...จุมพิตที่หน้าผากอย่างอ่อนโยนแบบนั้น...

แต่ก็เท่านั้น มีแต่เธอที่รู้ โมโนไม่ได้รู้ ที่โมโนรับรู้มีเพียงภาพที่เธอจงใจให้เห็นในตอนนั้น กับความรู้สึกที่ตกค้างอยู่ในร่าง ไม่ใช่ความรื่นรมย์ทว่าไร้ความผูกพันลึกซึ้งที่เธอได้รับในชั่วขณะนั้น

ตราบใดที่เธอไม่บอก ก็ไม่มีวันที่โมโนจะรู้

และเธอก็ตั้งใจแล้วว่าไม่มีวันเสียหรอกที่จะบอก

...มันก็แค่ความรู้สึกที่เปราะบางของมนุษย์ที่เปราะบาง...ใช่ว่ามนต์ของข้าจะแพ้ของเปราะบางพรรค์นั้น...ไม่มีวันเสียหรอก...


...ใช่แล้ว...ไม่มีวันเสียหรอก...

เด็กสาวยิ้มหยันเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของเด็กหนุ่มอีกครั้งหนึ่ง แม้นบัดนี้ร่างของเธอจะผอมซูบ ดวงหน้าซีดเซียวและขอบตาดำคล้ำ มนต์มายาเล็กน้อยก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาห้ามใจตนเองไม่อยู่อีก ยิ่งโมโนปฏิเสธไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้มากเท่าใด ความอดทนของเขาก็คงใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มที

...มนุษย์ที่เปราะบางก็มีอยู่แค่นี้เอง...

หากเขาครอบครองร่างของเธอในครั้งนี้...โมโนก็จะพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงและหลับใหลไปชั่วกาล เขาเองก็จะกลายเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ของเธอ นำพาเธอไปยังดินแดนแห่งองค์เทพบิดา และทำให้แผนการของเธอสำเร็จ

ความปรารถนาฉายชัดในใบหน้าที่เลื่อนเข้ามาใกล้ ก่อนริมฝีปากแห้งผากจะประทับลงอย่างเร่งร้อน ราวกับรอคอยต่อไปไม่ไหวแม้อีกอึดใจเดียว

ความหมายของกริยานั้นไม่ใช่ความรัก ก็แค่จุดเริ่มต้นของการสนองความต้องการ ก็แค่จุดไฟที่จะแผดเผาโมโนซึ่งหลบเร้นอยู่ในห้วงลึกของเธอ ประหนึ่งหลอมแก้วเจียระไนเปราะบางให้ละลายเหลวไม่เหลือเค้าเดิมอีก

แต่แล้วเด็กสาวก็เบิกตากว้างเมื่อสัมผัสรสขมที่โคนลิ้น

ที่มาพร้อมกับรสขมนั้นคืออาการชาอันคุ้นเคย เธอพยายามต้านมัน ยกสองมือขึ้นพยายามผลักเด็กหนุ่มออกไป แต่เขาก็รัดตัวเธอไว้แน่นทั้งด้วยสองแขนและริมฝีปาก ไม่เปิดโอกาสให้คายยาทิ้ง จนกระทั่งเธอรู้สึกว่าตนเองค่อยๆ จมดิ่งลงในห้วงมืด อยู่กับความเงียบและความมืดที่มีตนเองเพียงลำพังเช่นทุกครั้ง แทนที่โมโนซึ่งได้ร่างกลับคืนตามเดิม

...เป็นไปไม่ได้...

ทำไมมนต์สะกดของเธอถึงไม่ได้ผล

นี่ไม่ใช่ความรักของข้ากับโมโน...ความรักของเราไม่ใช่แบบนี้  เธอเพิ่งจับความคิดของเขาได้รางๆ ในขณะนี้ เมื่อใจของตนไม่ได้จดจ่อกับการร่ายมนต์เช่นในครู่ก่อน

...ไม่ใช่สัมผัสทางกายที่ตื้นเขินแบบนี้...

ด้วยเหตุนี้เองที่เขาห้ามตนเอง หยุดสิ่งที่จะเกิดขึ้นและขับไล่เธอ แม้นจะรู้ว่าโมโนไม่มีวันมอบสัมผัสที่เขาปรารถนาให้เขาอีกต่อไปแล้ว

เด็กสาวอยากหัวเราะออกมาดังๆ เสียเหลือเกิน...หากว่าเธอมีร่างอยู่ในตอนนี้

ข้าแพ้...แพ้มนุษย์ที่เปราะบางกับความรู้สึกที่เปราะบางของมันเข้าให้แล้ว


...เวลานั้นผ่านไปนานเท่าไรแล้วนะ...

เมื่อรับรู้เหตุการณ์เบื้องนอกได้อีกครา เธอก็พบร่างของโมโนกับตนเองนั่งซุกมุมผนังหินในห้องเล็กๆ ใต้แสงจันทร์ริบหรี่จากช่องระบายอากาศ ตรวนที่สวมข้อมือกับข้อเท้าของร่างของทั้งสองบ่งบอกอย่างชัดแจ้งว่าเด็กสาวกลับมาอยู่ในกรงขังรอวันตายในที่สุด

...พี่คนจรที่รักของเจ้าทิ้งเจ้าไปแล้วรึไง... เธอส่งเสียงถามเยาะๆ ยังผลให้โมโนขยับตัวน้อยๆ สีหน้ากลับแข็งกร้าวขึ้นทันควัน

"ให้เขาไปนั่นแหละดีแล้ว..." เด็กสาวผู้ครองร่างอยู่เอ่ยตอบเสียงแหบพร่า ราวกับไม่ได้ใช้เสียงพูดจามานาน "ข้าไม่มีวันทำให้เขามีความสุขได้อยู่แล้วนี่ ตราบใดที่ยังมีเลือดดำ...แล้วก็มีเจ้าอยู่ด้วย"

...นี่เจ้าจะบอกว่ามันเป็นความผิดของข้างั้นเหรอ...

"รู้ตัวแล้วยังจะถามอีก" โมโนสะบัดเสียงตอบดังขึ้น

...ข้าทำอะไรผิด...

"เจ้าฆ่าท่านปู่โยเร เจ้าแอบขีดเส้นในหนังสือให้พี่คนจรกลับมา เจ้าคิดให้ยาฮีม...ทำ...ทำอะไรข้าเจ้าก็รู้แก่ใจดีอยู่ เจ้ายุให้ข้าหนีมากับเขา เจ้าคิดฆ่ายาฮีม แล้วก็ทำให้ลูกของเราต้องตาย เท่านี้พอหรือยัง"

...ทำไมไม่จาระไนให้หมดล่ะ... เด็กสาวตอบกลับเสียงเย็น ...เว้นความผิดอย่างเดียวของข้าที่เจ้าให้อภัยไม่ได้ไว้ทำไม...

"เว้นอะไร" โมโนถาม ทั้งๆ ที่เธอรู้จากความคิดของอีกฝ่ายแล้วว่าตนเองมีความผิดใดที่เด็กสาวไม่อยากพูดออกมา

...ก็เรื่องที่ข้ามีอะไรกับเขาในคืนนั้นไง...

ต่อให้โมโนไม่ตัวเกร็งขึ้นทันที เธอก็ยังรู้ว่าเธอแทงใจดำอีกฝ่ายอย่างลึกที่สุด

"ในเมื่อเจ้ารู้แก่ใจดีอยู่แล้ว...ทำไมข้าถึงต้องพูดเรื่องบัดสีแบบนั้น"

...ที่ไม่พูดก็เพราะไม่อยากยอมรับมากกว่า... เด็กสาวแค่นเสียง ...จริงไหมล่ะ...ถ้าตัดเรื่องนั้นออกไปแล้ว...เจ้าจะได้บูชาความทรงจำถึงพี่คนจรคนดีของเจ้าได้โดยไม่ระคายใจ...โดยไม่มีข้ามาสอดมือยุ่งด้วย...เจ้าเลยทำเหมือนกับมันไม่เคยเกิดขึ้น...ก็เท่านั้นเอง...

"มันจบลงไปแล้ว! จะให้ข้ารื้อฟื้นมันขึ้นมาอีกทำไม!"

...ถึงมันจะจบลงไปแล้ว...เจ้าก็ยังไม่กล้ายอมรับอยู่ดี...ว่าพี่คนจรเคยใช้กำลังกับเจ้า...ว่าเขาไม่ได้ 'ร่วมรัก' กับเจ้า ก็แค่ 'ระบายความใคร่' เท่านั้น...

"นั่นมันเพราะมนต์สะกดของเจ้าเท่านั้นล่ะ!"

...ผิดแล้ว...มนต์สะกดของข้าจะไม่มีผลเลยหากมนุษย์ไม่มีความปรารถนาอยู่ในใจตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว...

...ความรักแบบชายหญิงอันเปราะบางที่เจ้ายึดมั่น...ถึงยังไงก็ต้องมีความปรารถนาแอบแฝงอยู่ดีนั่นล่ะ...

แต่ถึงอย่างนั้น...เขาก็ยังไม่ลืมที่จะกอดเจ้า มนต์สะกดของข้าไม่อาจทำให้เขาลืมคำที่ให้ไว้กับเจ้าได้...เด็กสาวนึกในใจ แต่ระวังไม่ได้สื่อให้อีกฝ่ายรู้

...แต่ที่เจ้ายอมรับไม่ได้ยิ่งกว่า...ก็คือความจริงที่ว่าเขา 'นอกใจ' เจ้า...ที่เขามีอะไรกับข้า ถึงเราจะมีร่างเดียวกันก็เถอะ...

"...ข้าไม่ได้คิดอะไรไร้สาระแบบนั้นสักหน่อย"

...แล้วทำไมเจ้าถึงโมโห...ทำไมตอนนั้นถึงยกเรื่องนี้ขึ้นมาทะเลาะกับเขาล่ะ...ข้าสงสารเจ้าจริงๆ ตัวข้าอีกคนหนึ่งเอ๋ย... หากมีร่างอยู่ เธอก็นึกอยากโคลงศีรษะนัก ...ที่เจ้าไม่ยอมรับความจริง ชอบเฉไฉหาเหตุผลอื่นมาเป็นข้ออ้างเพราะไม่อยากให้คนที่เจ้ารักรู้ว่าเจ้าโกรธเขา...ข้าคือส่วนหนึ่งของตัวเจ้า มีหรือที่ข้าจะไม่รู้ความจริง...

"แล้วยังไง" โมโนกลั้นใจตอบแม้เสียงจะสั่นพร่า "ใช่...ข้าโกรธเขา แต่ตอนนั้นเขาไม่รู้นี่นาว่ามีเจ้าอยู่ เพราะฉะนั้น...คนที่ข้าโกรธยิ่งกว่าก็คือเจ้านั่นแหละ! รู้อย่างนี้แล้วเจ้าจะเลิกรบกวนข้าได้หรือยัง!!"

...ยังไม่เลิกเอาข้ามาเป็นข้ออ้างอีก...

"จะให้ข้าคิดว่า 'แหม...ยังดีนะที่เอาร่างของข้ามาใช้ ไม่ใช่ผู้หญิงคนอื่น' งั้นเหรอ" โมโนโต้กลับ "ข้าไม่ได้วิปริตอย่างเจ้านี่...จะได้ชอบถูกมัด...ชอบความรุนแรงแบบนั้น แค่คิดก็ขยะแขยงแล้ว"

...ตอนนี้จะบอกว่าข้าผิดเพราะเอาร่างเจ้าไปทำเรื่อง 'วิปริต' งั้นสิ... เธอประชด ...หมายความว่าถ้าข้าบอกให้พี่คนจรบอกรักข้า แล้วก็ร่วมรักกับข้าในร่างเจ้าอย่างละมุนละไมที่สุดแล้วเจ้าจะไม่โกรธงั้นเหรอ...

"ไม่ว่าจะแบบไหนข้าก็โกรธทั้งนั้นแหละ!"

...เห็นทีจะโกรธอย่างหลังมากกว่าด้วยสินะ... เด็กสาวพูดอย่างรู้ดี

พลันความรู้สึกที่บอกไม่ถูกนั้นเสียดแทงแปลบวาบลึกๆ อีกแล้ว กระทั่งเธอห้ามความคิดของตนเองไม่ทัน ก่อนที่มันจะหลั่งไหลออกไปให้โมโนได้รับรู้ด้วยอีกคน

...แต่ข้าคงไม่มีวันทำได้...ทั้งๆ ที่ข้าอยากให้เขากอดข้าอีกสักครั้ง...กอดแนบแน่นเหมือนทุกครั้งที่กอดเจ้า...

"เจ้าว่าอะไรนะ" โมโนถามกลับอย่างประหลาดใจ

เด็กสาวเองก็ประหลาดใจเช่นกันที่ตนปล่อยความลับนั้นให้หลุดไปอย่างง่ายดาย

และมันก็ไม่ใช่ความลับของเธออีกต่อไปแล้ว

"พี่คนจร...กอดเจ้า...ตอนไหน"

เธอนิ่งอึ้งไปชั่วครู่

"ตอบมาเดี๋ยวนี้นะ!"

...ก็ในคืนแห่งคราสนั่นแหละ... เธอรีบตั้งสติ ปรับเสียงของตนให้กลับเป็นเยาะหยันตามเดิม ...เจ้าคิดว่าข้า 'วิปริต' อย่างที่เจ้าคิดนั่นน่ะเหรอ...ได้อยู่กับผู้ชายสักคนทั้งที...ข้าก็อยากให้เขาทะนุถนอมข้าเหมือนกัน...ถ้าไม่ติดว่ากำเนิดของทายาทแห่งอสุรเทพจะสัมฤทธิ์ผลที่สุดด้วยความรุนแรงล่ะก็นะ

โมโนนิ่งเงียบไป ก่อนจะพูดตะกุกตะกัก

"อย่าบอกนะว่า...เจ้าก็...รักพี่คนจร...เหมือนกัน"

...เปล่าสักหน่อย... เด็กสาวรีบแย้ง ...ข้าแค่พูดถึงผู้ชายทั่วๆ ไปต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นยาฮีม พี่คนจรของเจ้า...หรือผู้ชายอื่นๆ เป็นหมื่นเป็นแสนในโลกข้างนอกนั่น ถ้าต้องมีสัมพันธ์กับใคร...ข้าก็แค่ไม่อยากเจ็บตัวเหมือนคราวนั้น แต่อยากมีความสุขไปด้วยเท่านั้นล่ะ...

เธออ่านความคิดได้ว่าโมโนไม่เชื่อ และกลับคิดว่าเธอน่าสงสารเหลือเกิน

...ทำไมไม่โกรธล่ะ...ไม่ว่าข้าจะทำอะไรก็ผิดไปหมดในสายตาของเจ้าไม่ใช่รึไง...

...กระทั่งการมีตัวตนของข้า...

...ข้าจะบอกอะไรให้...ถ้าตอนนั้นเขาไม่ทำลายมนต์สะกดของข้าได้เสียก่อน...ข้าคงจะบอกให้เขาร่วมรักกับข้าอย่างนุ่มนวล...อย่างลึกซึ้งยิ่งกว่าที่เคยทำกับเจ้าไปแล้ว...

...อย่าสมเพชข้าแบบนี้สิ ข้าไม่ได้อยากเป็นมนุษย์ที่เปราะบางอย่างเจ้า ไม่ได้อยากถูกผูกมัดด้วยความรู้สึกเปราะบางแบบที่เจ้ามีสักหน่อย...

...แต่มันก็แค่ความสนุกเท่านั้นแหละ! แค่สนุก...แล้วก็แค่ผูกมัดเขาให้เป็นทาสของข้าคนเดียวด้วยความต้องการของเขา! ทำลายเจ้าให้หลับไปไม่ตื่นขึ้นมาอีกต่างหาก!...

"พี่คนจรเป็นคนดี...ข้าไม่แปลกใจหรอกถ้าเจ้าจะชอบเขา" โมโนกลับเอ่ยเรียบๆ เหมือนไม่ได้ฟังที่เธอพูดเลยแม้แต่น้อย "ข้ายังเคยคิดเลยว่า...คงมีผู้หญิงที่แอบชอบเขาอยู่เหมือนกัน นอกจากข้า"

...อย่าคิดว่าข้ามีความรู้สึกเปราะบางพรรค์นั้นได้ไหม!...

"ใช่...มนุษย์น่ะเปราะบาง ความรักก็เปราะบาง อย่างที่เจ้าชอบย้ำให้ข้าฟังอยู่บ่อยๆ นั่นล่ะ" ตัวเธออีกคนหนึ่งตอบ "แต่ข้าไม่คิดว่าการเป็นมนุษย์...หรือการมีความรัก...แม้แต่การเป็นสิ่งที่ 'เปราะบาง' จะผิดสักหน่อยนี่"

...ไม่ผิดสำหรับเจ้า แต่ผิดสำหรับข้า...

"ข้าคิดว่า...เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เปราะบางนี่แหละ ถึงต้องพึ่งพาและผูกพันกับมนุษย์คนอื่นๆ แล้วเพราะต้องผูกพันกับคนอื่นๆ ก็เลยต้องมีความรัก"

...ข้าไม่ใช่มนุษย์...ข้าไม่ควรมีความรู้สึกแบบนี้...

"แล้วที่ความรักน่ะเปราะบาง...ก็เพื่อที่มนุษย์จะได้เห็นค่าของความรัก แล้วก็ความสำคัญของการถนอมความรักเอาไว้ยังไงล่ะ"

...ข้าถนอมอะไรไม่เป็น...อะไรก็ตามที่เปราะบาง...ถึงไม่ได้อยู่ในมือ...แต่อยู่ใกล้ๆ...ข้าก็ทำให้มันแตกสลายลงได้...

...เลิกพล่ามไร้สาระเถอะน่า...ยังนึกว่าข้าเป็นเพื่อนกับเจ้าเหมือนเมื่อตอนนั้นอีกเหรอ...

"เคยบอกไปนานแล้วนี่ว่าข้าจะไม่เป็นเพื่อนกับเด็กไม่ดี" โมโนกลับตอบ "ก็แค่อยากให้ใครสักคนยอมรับความจริงก็เท่านั้น"

...ยังกะตัวเจ้าเองยอมรับความจริงได้มากนักล่ะ... เธอโต้กลับ

ทั้งสองกลับเงียบไป ทำให้เด็กสาวผู้อยู่ภายในกำแพงจิตใจหวนนึกไปถึงเมื่อก่อน สมัยที่ทั้งสองยังเป็นเด็กเล็กๆ พูดคุยตอบโต้กันราวกับต่างฝ่ายเป็นเพื่อนในจินตนาการ หรือกระทั่งหลังตอนที่กลับมาพบกันอีกครั้งเมื่อโมโนเริ่มมีความรักในจิตใจ ทำให้กำแพงที่กักขังเธอไว้เริ่มเปราะแตกออก

ก่อนที่โมโนจะรู้ว่าเธอคือ...'จิตด้านมืด' ที่อสุรเทพส่งมา จิตด้านมืดที่ประสงค์ร้ายและไม่ควรเชื่อใจหรือเรียกว่า 'เพื่อน' อีกต่อไป

เห็นไหม...ทุกอย่างที่เปราะบางรอบตัวข้ามันสลายไปแล้วทั้งนั้น

"ยังไงข้าก็จะไม่ได้เจอกับเขาอีกแล้ว" โมโนเริ่มพูดเรียบๆ "ข้ารู้ดีหรอก ยังไงข้าก็ต้องตายไปพร้อมกับเจ้า"

...เราอาจจะไม่ต้องตายก็ได้...ถ้าเจ้าเชื่อข้าเสียบ้าง...

"ถ้าข้ามีชีวิตอยู่แล้วทำให้คนอื่นมีความทุกข์...ข้ายินดีตายเสียยังจะดีกว่า"

...ถ้าอะไรก็ตามที่มีชีวิตมันคิดแบบเจ้า...โลกนี้ก็คงไม่มีสิ่งมีชีวิตเหลืออยู่อีกแล้ว... เด็กสาวค่อนขอด ...การเอาชีวิตรอดก็คือการสร้างความทุกข์ให้กับสิ่งอื่น...ให้กับพืชให้กับสัตว์ที่เจ้ากิน...เจ้านี่แหละที่ยอมรับความจริงข้อนี้ไม่ได้...

...แล้วเจ้าคิดว่าถ้าตัวเองตายไปแล้วคนอื่นจะไม่มีความทุกข์งั้นเหรอ...ไม่ว่าจะเป็นนักบวชเอมอนนั่น ยาฮีม เมยา...ทุกคนรอบตัวเจ้าต้องเป็นทุกข์แน่ๆ...ถ้าพี่คนจรของเจ้ารู้เข้า...เขานั่นแหละจะทุกข์ยิ่งกว่าใคร...

"ข้าถึงได้ให้เขาไปเสียก่อน จะได้ไม่ต้องรับรู้ยังไงล่ะ"

...ความลับไม่มีในโลกหรอก...

"เหมือนความรู้สึกที่เจ้ามีต่อพี่คนจรน่ะเหรอ" โมโนย้อนทันควันจนเด็กสาวแทบไม่ทันตั้งตัว

...อย่าชักใบให้เรือเสียเลย...ข้าจะคิดยังไงกับมนุษย์หน้าโง่นั่นก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า...

"ถ้าอย่างนั้น ข้าจะเลือกอยู่หรือตายยังไงก็ไม่เกี่ยวกับเจ้าเหมือนกัน"

...ทำไมจะไม่เกี่ยว... เด็กสาวแย้ง ...ร่างนี้ไม่ได้เป็นของเจ้าคนเดียวสักหน่อย...ถึงเจ้าจะเห็นข้าเป็นกาฝากหรือเป็นแค่ผีร้ายที่สิงสู่เจ้า...ข้าก็เกิดมาในร่างนี้เหมือนกันนั่นแหละ!...เกิดมาโดยไม่ได้เลือกเองเหมือนกับเจ้าด้วย!!

"...ข้าเองก็ทำอะไรเรื่องนั้นได้เสียที่ไหน" โมโนแย้งอย่างอ่อนใจ "แต่องค์สุริยเทพน่าจะช่วยพวกเราได้ อันที่จริง...เจ้าก็ไม่ใช่คนเลวเสียทีเดียว ถ้าเจ้าสำนึกผิดด้วยใจจริงแล้วสวดอ้อนวอนพระองค์ล่ะก็..."

...อย่ามาเทศน์เป็นพระแก่นั่นเถอะ... เธอตัดบททันควัน ด้วยรู้ว่าไม่มีวันเสียหรอกที่เทพองค์นั้นจะช่วยเธอหรือโมโน

โมโนไม่ยอมเชื่อ...หรืออย่างน้อยก็บังคับตนเองไม่ให้โอนอ่อนไปตามสิ่งที่เธอบอก คงไม่มีวันที่เธอจะทำให้โมโนเชื่อได้ว่านี่คือความจริง ในเมื่อเธอเป็นฆาตกร เป็นหญิงร่านแพศยา เป็นสิ่งที่กร้านกร้าวอย่างที่โมโนผู้เปราะบางไม่อาจยอมรับ

แต่ก็ช่วยไม่ได้...เธอปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าเธอมีส่วนทำลายโมโนจนเป็นอย่างทุกวันนี้

"ไปแล้วเหรอ" โมโนถามลอยๆ เมื่อเธอเงียบไปนาน และเธอก็ไม่ตอบ ปล่อยให้เด็กสาวเข้าใจไปเองว่าเธอหมดอำนาจที่จะสื่อสารแล้ว จึงได้หวนคิดถึงความทรงจำดีๆ สมัยที่เธอยังอยู่กับคนจร เพื่อปลอบใจแทนความเดียวดายรอบกาย

เด็กสาวในกำแพงจิตใจเลยพลอยคิดถึงคนในความทรงจำของจิตอีกดวงในร่างขึ้นมา โดยเฉพาะตอนที่เขาถามไถ่อย่างห่วงใย โอบกอดเธอและจุมพิตที่หน้าผาก จนต้องรีบเตือนตนเองซ้ำๆ

...ไม่มีทาง...ข้าไม่มีทางมีความรู้สึกที่เปราะบางกับมนุษย์ที่เปราะบางอย่างนั้น...

...ข้าไม่ได้เปราะบางอย่างนั้น...


สีหน้าเรียบเฉยของเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเรียกความแปลบวาบให้กลับมาอีก

เขาเคยมองเธอด้วยสีหน้าฉงนสงสัย สีหน้าที่แสดงความปรารถนา สีหน้าที่แสดงความหวาดหวั่น สีหน้าเหล่านั้นทำให้เธอรู้สึกว่าตนมีอำนาจเหนือกว่ามากมายยิ่งนัก เพราะเธอคือสิ่งที่จะมอบคำตอบให้กับเขา คือผู้ตอบสนองสิ่งที่เขาต้องการ และคือสิ่งที่เขาหวาดกลัว

ทว่าสีหน้าในยามนี้กลับทำให้เธอรู้สึกว่าตนต่างหากที่เปราะบาง ไม่มีอำนาจต่อรองชายผู้ไม่เหลือความเกรงกลัวในสิ่งใดอีกแล้วคนนี้เลย

ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะตวาดโมโนเพื่อกระทบใจของเขา แล้วให้เขาเป็นคนรับหน้าที่ปลอบประโลมแทน ให้โมโนถือเขาเป็นหลักยึดเหนี่ยวและยอมปล่อยเขาออกไปสังหารร่างอสูรยักษ์ของทั้งสอง แต่ความรู้สึกหวั่นไหวของตัวเธอเองนี้ไม่ได้อยู่ในแผนการเลยสักนิด

"ให้ข้าจัดการเองเถอะ"

เพียงเท่านั้นเองที่เขาพูดกับเธอ ขณะที่ดวงตาแน่วนิ่งสะกดเธอไว้ แล้วเธอจึงได้ยอมจำนน ปล่อยมือจากโมโน ให้เขาโอบกอดเด็กสาวอีกคนไว้

...อย่างที่เขาคงไม่มีวันโอบกอดเธออีก...

การสนทนาของทั้งสองดำเนินต่อไปราวกับเธอไม่ได้อยู่ในที่นั้นด้วย เว้นแต่...

"ใครจะไปรู้ล่ะ...หายนะอาจจะไม่เกิดก็ได้ หากว่าผู้มีโลหิตดำได้รับการเลี้ยงดูอย่างคนธรรมดามาตั้งแต่ต้น ไม่ต้องถูกบีบบังคับกดดันด้วยหลักศีลธรรม จนเกิดจิตอีกด้านขึ้นมาเพื่อตอบสนองสิ่งที่เจ้าถูกห้ามไม่ให้ละเมิดแบบนี้" 

เมื่อนั้นเองที่เธอเหลือบมองเขาชั่วแวบ ก่อนจะก้มหน้าลงจดจ่อกับความคิดของตน

...นั่นสินะ...ถ้าโมโนเติบโตขึ้นมาแบบเด็กธรรมดาแล้วข้าจะเกิดขึ้นมาไหมนะ...บางทีอาจจะไม่มีข้า...ตัวตนที่ข้าเกลียดชังนี่อาจจะไม่มีอยู่ก็ได้...

ถ้าเป็นอย่างนั้นอาจดีกว่ากระมัง หากแค่เกิดมาเพื่อตาย...ก็อย่าเกิดเสียเลยตั้งแต่ต้นจะดีกว่า

แต่เธอก็เกิดขึ้นมาแล้ว ผูกพันรับความทรมานกับโมโนอยู่ที่นี่แล้ว การคิดถึงเรื่องที่เป็นไปไม่ได้นั้นไม่มีประโยชน์

เธอควรคิดเหมือนทุกครั้ง...ว่าทำอย่างไรจึงจะเอาตัวรอดพ้นจากสภาพนี้ได้ต่างหาก

"ตกลง...เจ้าจะยอมกลับไปสินะ" เธอเอ่ยเรียกคู่รักทั้งสองที่ดูเหมือนจะตกลงกันได้แล้ว พลางก้าวไปยังทะเลสาบที่เป็นทางออกจากความฝัน "ข้าจะได้ล่วงหน้าไปรั้งไม่ให้เจ้าเผลอตัวฆ่าเขาตายขึ้นมาก่อน"

โมโนสบตากับเธอด้วยแววตาที่ยังหวาดหวั่นแต่หนักแน่น แล้วพยักหน้า ส่วนเด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น

"ขอบใจเจ้ามาก" 

"ข้าทำเพื่อองค์เทพบิดาของข้า ไม่ใช่เจ้า" เด็กสาวกลั้นใจพูด "ที่รักษาชีวิตเจ้า ก็เพราะเจ้าเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งที่ยังมีประโยชน์กับพระองค์อยู่เท่านั้นเอง" 

"แต่อย่างน้อย ข้าก็อยากขอบใจเจ้าที่ช่วยเตือนสติข้า แล้วก็จะช่วยให้โมโนฟื้นขึ้นมา"

บางสิ่งกระตุกวูบในตัวตนของเธออีกแล้ว

...ทำไมต้องขอบใจข้าด้วย...ข้าไม่อยากได้ยินคำคำนี้จากเจ้า...ด้วยเหตุผลเพราะว่าข้าช่วยโมโนให้เจ้าสักหน่อย...

"แม้ว่าพวกเราเองก็ใช้เจ้าเป็นเครื่องมือ เหมือนกับที่พวกของสุริยเทพใช้นางเป็นเครื่องมือน่ะหรือ" 

"ใครๆ ต่างก็ลงมือทำอะไรเพราะหวังผลที่ตนเองจะได้รับ อย่างที่เจ้าบอกมานั่นแหละ" เขากลับตอบ "แต่ขอบอกไว้ก่อน ว่าข้าจะทำทุกอย่างเพื่อโมโนเท่านั้น พอได้นางคืนมา ข้าก็จะไม่ยอมเป็นเครื่องมือของเทพองค์ไหนทั้งสิ้น" 

เด็กสาวเหยียดยิ้มหยันตนเองกับคำย้ำ 'เพื่อโมโนเท่านั้น' ก่อนจะตัดสินใจก้าวลงไปในน้ำ

"ขอให้เจ้าทำได้จริงเถอะ"

ขณะที่เดินไปเรื่อยๆ เธอรู้สึกได้ว่าสายตาทั้งสองคู่ยังจับจ้องเธออยู่ เมื่อเธอจากไปแล้ว พวกเขาก็คงล่ำลากันด้วยความรัก...เฉกเช่นทุกครั้งที่ต้องจากกัน ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ตามทีว่าจะได้พบกันอีกหรือไม่

บางทีตัวตนของเธออาจเป็นเพียงส่วนเกินเท่านั้น

แต่ทว่า...

"มีเรื่องที่ข้าอยากบอก 'ตัวข้าอีกคนหนึ่ง' ก่อน...เผื่อว่าจะไม่มีโอกาสบอกอีกแล้ว" เธอตัดสินใจหันกลับมามองทั้งสองที่ยังยืนอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันบนฝั่ง "มนต์มายาที่ข้ามี...อย่างเก่งก็แค่ผูกมัดให้มนุษย์เผลอไผลไปกับตัณหาราคะชั่วครู่ชั่วคราว ไม่มีมนต์ที่ผูกพันหัวใจได้แนบแน่นถึงขนาดนี้หรอก"

...แต่ข้าก็อยาก...อยากมีมนต์วิเศษนั้น...ไม่สิ...อยากมีความสามารถที่จะทำแบบนั้นได้เหลือเกิน...

ริมฝีปากที่เผยอเริ่มสั่น จนเธอต้องฝืนยิ้มไว้ กระนั้นยังไม่อาจห้ามดวงตาที่ร้อนผ่าวได้จนเธอต้องหันกลับไป

"เพราะฉะนั้น...จงยินดีเถอะ ตัวข้าอีกคนหนึ่ง ที่เจ้าได้พบผู้ชายแสนดีที่รักเจ้าอย่างบริสุทธิ์ใจคนนี้"

และแล้วเด็กสาวก็ก้าวยาวๆ ลงไปใต้ผิวทะเลสาบจนมิดศีรษะ

ณ ที่ที่ไม่มีใครนอกจากตัวเธอเองบอกได้ว่า...มีน้ำตาของเธอผสานอยู่ด้วยหรือไม่


รอยยิ้มของเธอเมื่อเขาสังหารอสูรยักษ์ตนสุดท้ายสำเร็จ มาจากความพึงใจว่าแผนการของเธอเสร็จสิ้นลงด้วยดี

และความรู้สึกว่าเธอจะได้ใกล้ชิดเขายิ่งกว่าโมโนในที่สุดก็ครานี้...เพราะเธอเป็นอำนาจมืดอีกขุมหนึ่งในกระแสโลหิตดำของเขา

ทันทีที่เธอกลืนเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจอีกสิบห้าที่รออยู่แล้ว 'บัญชา' ที่ไม่ทันคาดคิดก็รอต้อนรับ

...เตรียมมนตร์ย้ายร่างให้พร้อม...

จิตด้านมืดอันนับเป็นพี่ทั้งสิบห้าของเธอก้าวเข้ามาใกล้ ก่อนที่ทั้งหมดจะประสานพลัง เตรียมพาร่างของเด็กหนุ่มกลับสู่อารามสักการะเช่นทุกครั้ง

ทว่าครั้งนี้ระยะทางที่ต้องข้ามนั้นห่างไกลถึงสุดปราการทางใต้ของผืนดินต้องห้าม อำนาจมนตร์ที่จำเป็นและเวลาในการร่ายย่อมไม่น้อยกว่าครั้งอื่นๆ

เธอร้อนใจเหลือเกิน เมื่อสัมผัสได้ถึงผู้บุกรุกอีกกลุ่มหนึ่งภายในดินแดนแห่งนี้ แต่ที่ทำได้ก็มีเพียงตั้งใจเพ่งจิตให้มนตราสัมฤทธิ์ผลโดยเร็วที่สุดเท่านั้นเอง


เธอตกใจเป็นที่สุดเมื่อเห็นคนจรถูกมนุษย์พวกนั้นสังหาร โดยที่ดอร์มินหรือองค์เทพบิดาไม่มีวี่แววจะช่วยเหลือสักนิด

อำนาจของเลือดดำในร่างประคองชีวิตเขาไว้แม้นจะถูกแทงทะลุหัวใจ ทว่าคงอีกไม่นานนัก เมื่อดอร์มินสื่อสารบอกเขาให้ดึงดาบออกนี่เองที่เธอเข้าใจแผนการทั้งหมด

หากคนจรทำเช่นนั้น...ร่างนี้ก็จะตกเป็นของดอร์มิน เปิดช่องว่างให้วิญญาณของดอร์มินเข้าแทรกแซงและควบคุมร่าง โดยใช้อำนาจมืดของพวกเธอเป็นสื่อได้ตามใจนึก

แต่หากไม่ทำเช่นนั้น เขาก็จะตายอย่างแน่นอนที่สุด

เด็กหนุ่มทำตามนั้น ดอร์มินยึดครองร่างของเขา รวบรวมอำนาจมืดทุกขุมที่ยังแฝงเร้นอยู่ในอารามสักการะมาแปรเปลี่ยนร่างที่เพิ่งได้มาให้กลับกลายเป็นอสูรยักษ์ หมายสังหารเหล่าผู้รุกรานจนสิ้น

ส่วนจิตของเขาก็ถูกส่งมาให้พวกเธอทั้งสิบหก 'รับมือ'

"ข้าไม่น่าเสียแรงขอบใจเจ้าเลย!" เขาแค่นเสียงต่อหน้าเธอ ดวงตายังเป็นประกายกร้าว

"ข้าก็บอกแล้วนี่ ว่าข้าทำเพื่อองค์เทพบิดาของข้า ไม่ได้ต้องการคำขอบอกขอบใจจากเจ้าเลยสักนิด"

ใช่แล้ว...เจ้าไม่น่าเสียแรงขอบใจข้าเลย ข้าไม่ได้โกหก ข้าทำเพื่อเทพบิดาของข้า และเหนือสิ่งอื่นใดคือเพื่อตัวข้าเอง ไม่ใช่เพื่อเจ้าหรือโมโนสักนิด

ไม่มีทางที่พี่ๆ ของเธอจะฟังเขา ต่อให้ร่ำร้องอ้อนวอนเพียงไหน เพราะพวกของเธอเคยพร่ำอ้อนวอนต่อพวกมนุษย์เช่นเดียวกับเขา และมนุษย์ที่เปราะบางด้วยความหวาดกลัวก็ไม่ยอมเห็นใจเลยแม้แต่น้อย

เธอเองก็เหมือนกัน หากจำเป็นจริงๆ เธอก็จะกำจัด 'เบี้ย' ตัวนี้ไป เพื่อเป้าหมายที่สูงกว่านี้ เพื่อตัวเธอเอง ที่เธอควรทำในตอนนี้ก็คือเล่นตามแผนของดอร์มิน รอจังหวะที่มันเผลอ หาทางเกลี้ยกล่อมผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ หรือมิเช่นนั้นก็โค่นล้มพวกเขาเพื่อให้ได้อำนาจสูงสุดในร่างมา

อำนาจที่อาจกลืนกินวิญญาณของดอร์มิน และทำให้เธอกลายเป็นดวงวิญญาณที่สมบูรณ์ แทนที่อำนาจมืดที่กลับมีความรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้

เมื่อนั้น เธอจะสามารถต่อต้านอมตเทพได้อย่างที่หวัง บางทีอาจกลายเป็นเทพองค์หนึ่งที่มีอำนาจมากพอจะโค่นล้มมนุษย์ที่เธอชังด้วยซ้ำ

แต่กว่าจะไปถึงขั้นนั้น จำเป็นจะต้องสังเวย 'เขา' เสียก่อน

"คนที่ไม่คิดจะล้างแค้นคนที่ล้างเผ่าตัวเอง ไม่กล้าฆ่ากระทั่งคนที่คิดจะย่ำยีภรรยาตัวเองและฆ่านาง จนตัวเองต้องเจ็บปวดเองตลอดอย่างเจ้า ใครจะฟัง" เธอพูดเพื่อย้ำกับตนเอง คนคนนี้ช่างเปราะบางและขลาดเขลา ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่เธอต้องการปกป้องไว้สักหน่อย

"แม้แต่เจ้า...ที่เป็นอีกด้านหนึ่งของโมโนน่ะหรือ"

กระนั้น...คำพูดของเขากระทบยิ่งกว่าคำพูดใด

"ใช่...ข้าเองก็ไม่ฟังเจ้า" เธอลังเลแวบหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจคลายมือ รวบรวมพลังปล่อยใส่ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ แล้วฉุดดึงเขามุ่งไปสู่อิสรภาพ

อิสรภาพของเขา...ทว่าเป็นหายนะของเธอ

"...เพราะข้าตั้งใจจะทำอย่างนี้มาแต่ต้นแล้ว" เธอทำสิ่งที่ตนทำได้ดีที่สุด คือพูดปด พยายามไม่สนใจเสียงร้องอื้ออึงจากด้านหลัง

"ทำไมถึงช่วยข้า" เธอรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องถาม จึงได้ตอบตามที่คิดขึ้นมา

"เพราะข้าเองก็รักเจ้าเหมือนโมโนล่ะมั้ง" อย่างมากนี่คงเป็นโอกาสเดียวที่เธอจะบอกกับเขาได้ ก่อนที่เด็กสาวจะกลบเกลื่อนเหมือนไม่ได้จริงจังนัก "จริงเสียที่ไหน เห็นคนอย่างเจ้าน่าแกล้งนัก ข้าเลยพูดเล่นเท่านั้นเอง"

"นี่ไม่ใช่เวลามา--"

แน่อยู่แล้วว่าเขาเห็นเป็นเรื่องพูดเล่น เธอจึงเบือนไปเพื่อซ่อนสีหน้าแล้วเปลี่ยนเรื่อง

"ข้าไม่ยอมให้มันใช่ข้าเป็นเบี้ยหรอก แม้ว่ามันจะเป็นผู้ที่ทำให้ข้าเกิดมาก็ตาม"

"มัน...อสุรเทพน่ะหรือ"

"จะใครที่ไหนล่ะคะ พี่คนจร"

"ก็ไหนในฝันนั่นเจ้าบอกว่า--"

"ใช่ ข้าทำเพื่อความหวังของมัน ตั้งใจให้เจ้าปลดปล่อยดอร์มินออกมาเพื่อให้มันกระหยิ่มในใจว่ามันจะได้เป็นอิสระในไม่ช้า แล้วก็ทำลายความหวังนั้นเป็นเสี่ยงๆ ให้มันเจ็บปวดคลั่งแค้นที่สุด" อย่างน้อยคำพูดของเธอครั้งนี้เป็นความจริง แม้จะไม่ได้เปิดเผยเสียทั้งหมด "จะเทพแห่งความสว่างหรือความมืด ข้าก็เกลียดมันพอกันทั้งสองตนนั่นล่ะ ที่ทำให้ชีวิตของข้าต้องเป็นแบบนี้"

เขาเงียบไปนาน กระทั่งเธอเห็นปากทางออกจากมิติแห่งจิตนี้อยู่ใกล้เข้ามาทุกที ก่อนจะถามราวกับล่วงรู้ความในใจของเด็กสาว

"ที่พูดนี่ตั้งใจจะบอกว่าข้าไม่ต้องขอบใจเจ้าใช่ไหม"

"ข้าแค่ใช้เจ้าเป็นเครื่องมือ จะขอบคุณไปทำไม" เธอกลั้นใจตอบ

"ถึงอย่างนั้นก็...ขอบใจมากนะ"

มนุษย์อะไร...ช่างโง่เสียจริง... เด็กสาวอดนึกไม่ได้ แม้นจะรู้ว่าอีกฝ่ายจงใจพูดเพราะรู้ว่าเธออยากได้ยิน

ทว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้ที่เธอพบกับเขา ใจส่วนลึกจึงเรียกร้องให้เธอหันไปสบตากับเขา ให้พูดสิ่งที่อยากบอกกับเขา...แม้นจะไม่ใช่สิ่งที่เธออยากบอกที่สุดก็ตาม

ความเปราะบางชนะในครั้งนี้

"ถ้าอยากขอบใจข้าจริงๆ ก็จดจำข้าไว้แล้วกัน" เธอกลับก้มหน้าลงแทน ด้วยกลัวจะให้เขาเห็นแววตา "ข้าเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดมา เป็นแค่ก้อนอำนาจมืดที่ใกล้ชิดกับมนุษย์มากเกินไป จนเกิดความรู้สึกอย่างมนุษย์ขึ้นมาก็เท่านั้น ไม่ว่าเทพองค์ไหนจะชนะ ตัวตนของข้าก็จะจางหายไปไม่ช้า อำนาจที่มีความนึกคิดเป็นของตัวเอง...กระทั่งพ่อผู้ให้กำเนิดก็ไม่อยากเก็บไว้เป็นหอกข้างแคร่หรอก"

ใช่แล้ว...เราพ่อลูกเหมือนกันไม่มีผิด หวาดระแวงสิ่งที่ฉลาดเทียบเท่าตน...และมีอำนาจใกล้เคียงกับตน

...แต่ไม่เคยเฉลียวคิดสักนิดว่า สิ่งที่ไม่ได้ฉลาด...ไม่ได้มีอำนาจอะไร...ทั้งยังเปราะบางกว่า...จะเอาชนะพวกเราได้อย่างคาดไม่ถึง

"คงมีแต่โมโนกับเจ้าที่จะจดจำข้า...ถึงข้าจะไม่ใช่สิ่งที่น่าจดจำนัก ให้ตัวตนของข้าได้คงอยู่ผ่านพวกเจ้าอีกสักพักหนึ่ง นั่นล่ะที่ข้าอยากขอ"

ไม่นะ...นั่นไม่สมกับเป็นข้าเลย...ข้าน่ะเหรอจะขออะไรจากเขาแบบนั้น อีกด้านหนึ่งของโมโนคัดค้าน ยังผลให้เธอกำมือแน่นก่อนจะตัดสินใจ

"ได้--"

เสียงแทบหลุดลอดจากริมฝีปากเขาไม่ทันจบพยางค์ดี เธอก็ปิดปากของเด็กหนุ่มด้วยริมฝีปากของตน ประทับจุมพิตสุดท้ายที่จะตราตรึงไปถึงที่สุดของตัวตนของเธอ

เท่านี้ก็พอแล้ว

"อย่าลืมคืนที่เราได้พบกันนะคะ พี่คนจร ท่านทำให้ข้ามีความสุขมากนะ" เด็กสาวหัวเราะหยันตนเองที่กลับพูดตามแบบของโมโน แต่แล้วก็กลับหัวเราะขำอาการอายของคนตรงหน้า มาถึงขั้นนี้แล้วยังเขินอายอย่างน่ารักเสียเหลือเกิน

ทว่าไม่เหลือเวลาให้หยอกล้อกันอีกแล้ว แสงสว่างบอกทางออกของห้วงจิตอยู่ตรงหน้านี้เอง

"จิตของเจ้าจะออกไปได้ตรงนี้ พยายามต้านดอร์มินให้ได้นานที่สุดก็แล้วกัน"

"แล้วเจ้าล่ะ" คนจรถามพลางเหลียวกลับไปมองหมู่เงาสีขาว ซึ่งใช่ว่าเธอจะไม่เห็นก่อนเขา และเตรียม 'แผนการ' ต่อไปของตนเรียบร้อยแล้ว

"ข้าจะตรึงปากทางไว้ไม่ให้ดอร์มินกดสติเจ้าได้อีก จากนั้นก็ดึงอำนาจของผู้ถูกเลือกอื่นๆ มาสะกดดอร์มิน แยกเจ้ากับมันออกจากกันให้ได้"

"เจ้ารับมือพวกนั้นตั้งสิบห้าคนไหวหรือ" คำถามของเขาเรียกรอยยิ้มของเธอออกมาอีก ด้วยความตื้นตัน

"ข้ามีอำนาจแข็งแกร่งสุดในหมู่พวกนั้น ไม่เป็นอะไรไปง่ายๆ หรอก แล้วไม่แน่...ข้าอาจจะเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาร่วมมือกับข้าได้ก็ได้ เพราะข้าย่อมเข้าใจพวกตัวเองดีที่สุด"

สิ่งที่พวกเขาต้องการ...อาจจะเป็นสิ่งเดียวกับที่ข้าต้องการ...และอาจจะเป็นสิ่งเดียวกับที่เจ้าเป็นเสมอมาก็ได้

"ถึงยังไงก็...ระวังตัวด้วยนะ"

สิ่งนี้เอง...สิ่งที่ไม่ควรเรียกว่าเปราะบางอ่อนแอ...แต่อบอุ่นอ่อนโยน...กระทั่งทำให้ปีศาจอย่างข้าระลึกได้ว่าตนขาดสิ่งใดไปบ้าง

"แต่ข้าต้องเตือนไว้ก่อน" เด็กสาวเอ่ยอย่างกังวลเมื่อนึกขึ้นได้ "ถึงจะแยกวิญญาณของดอร์มินออกจากร่างของเจ้าได้สำเร็จ เจ้าก็จะใช้ชีวิตโดยปราศจากอำนาจมืดไม่ได้อีก...เพราะร่างกายของเจ้าก็เหมือนตายไปแล้ว หากไม่ได้อำนาจของอสุรเทพก็ไม่สามารถคงชีวิตไว้ได้"

"เรื่องนั้นไว้คิดทีหลัง ตอนนี้ที่สำคัญคือต้องต้านดอร์มินให้ได้ก่อน" เขายังคงตอบแบบที่เธอคิดว่าสมกับเป็นเขาเสียเหลือเกิน

"นั่นสินะ" เด็กสาวพยักหน้ารับ แล้วรุนเขาเข้าสู่ทางออกไวเท่าการตัดสินใจ เมื่อนั้นเองที่เธอเผยรอยยิ้มที่เขาไม่มีวันได้เห็นชัด "รีบไปเร็ว โมโนต้องเสียใจแน่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า...หรือเจ้าทำอะไรลงไป"


"คนทรยศ" พี่ชายคนหนึ่งของเธอเข่นเสียงเมื่อเข้ามาใกล้ รักษาระยะห่างไว้นอกเขตที่เด็กสาวผู้เป็นอีกด้านหนึ่งของโมโนกางพลังของตนป้องกันทางเชื่อมระหว่างโลกแห่งจิตใจกับความเป็นจริงไว้

"แค่ได้นอนกับมนุษย์นั่นคืนเดียว...เจ้าก็ 'ติดใจ' จนคิดช่วยมันแล้วรึไง" พี่ชายอีกคนถากถาง ทว่าเธอกลับเหยียดยิ้มรับ

"ถ้าสิ่งที่เขาทำมีแค่นั้น...ข้าก็คงไม่ทำแบบนี้หรอก" เด็กสาวหันกลับมาเผชิญหน้ากับพี่ๆ ทั้งสิบห้า "แต่เพราะเขาทำมากกว่านั้น มอบสิ่งที่มีค่ามากกว่านั้นให้กับข้า...ไม่สิ...ให้กับตัวข้าอีกคนหนึ่งต่างหาก"

"น่าขำ! อย่าพูดจาแบบมนุษย์ไปหน่อยเลย เจ้าเชื่อในความรู้สึกที่เปราะบางนั่นรึยังไง"

"ความรู้สึกที่ทำให้มนุษย์แค่ตัวคนเดียว กล้ามาถึงดินแดนต้องห้ามและปราบอสูรยักษ์ถึงสิบหกตน...จะเรียกว่าความรู้สึกที่เปราะบางได้หรือ" เธอค้าน "แล้วยังก่อนหน้านั้นอีก ความรู้สึกที่ทำให้มนุษย์คนหนึ่งตัดสินใจร่วมชีวิตกับพวกที่คนอื่นๆ เห็นว่าเป็นปีศาจอย่างพวกเรา...นั่นน่ะหรือเปราะบาง"

"มันก็แค่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วพวกเราเป็นยังไงเท่านั้นล่ะ เลยคิดง่ายๆ แค่อยากเสพสุขกับตัวเจ้าอีกคนหนึ่งต่างหาก"

"ใครว่าแค่อยากมีความสุข ไม่ใช่แค่นั้นหรอก ต่อให้ความทุกข์แสนสาหัส เขาก็อยากร่วมแบกรับกับนางด้วยเหมือนกัน" เด็กสาวยังแทบไม่เชื่อว่าตนเองพูดอะไรออกไป ทว่าคำพูดกลับหลั่งไหลออกมา ราวกับเธอเข้าใจบุรุษที่ตนกำลังพูดถึงอย่างถ่องแท้ที่สุด "คนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างเราเสมอ นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะมีได้แล้ว"

"แต่พวกเราไม่ใช่มนุษย์!" ผู้ถูกเลือกหญิงคนหนึ่งแย้ง

"ใช่ พวกเราไม่ใช่มนุษย์ แม้ว่าความรู้สึกของเรา สำนึกของพวกเราจะซึมซับความเป็นมนุษย์เข้าไปทุกทีแล้ว...เราก็เป็นได้แค่อำนาจที่มีจิตเป็นของตนเอง เพื่อให้เทพบิดาสั่งการได้เท่านั้น พวกของสุริยเทพพยายามทุกวิถีทางที่จะทำลายเรา ถึงอย่างนั้นก็ทำได้แค่กักขังเราไว้ แต่พอเทพบิดาชนะ ชะตากรรมของพวกเราจะเป็นยังไง พวกเราคงถูกหลอมรวมเป็นอำนาจของพระองค์อย่างสมบูรณ์ จิตของพวกเราจะสลายไปเหมือนกับเราไม่มีตัวตนอยู่ พวกท่านอยากให้เป็นอย่างนั้นเหรอ"

ร่างในชุดขาวรอบตัวเธอทั้งหมดนิ่งเงียบ

"เห็นไหม ถึงตัวตนพวกเราจะเต็มไปด้วยความทรงจำที่เป็นทุกข์ เราก็ยังจำความสุขที่มีเพียงเล็กน้อยได้ แล้วเราก็ไม่อยากเสียมันไป แต่ข้าก็เสียใจจริงๆ ...ที่ต้องบอกว่าไม่นานนี้ ตัวตนของพวกเราที่เป็นอยู่นี้ก็จะอันตรธานหายไป ไม่ว่าเทพองค์ไหนจะชนะก็ตาม"

"แล้วถ้าเราช่วยมนุษย์คนนั้น...จะมีประโยชน์อะไรกับพวกเราล่ะ" ใครคนหนึ่งตั้งคำถาม

"มีสิ เพราะเขาจะเป็นผู้จดจำว่าเรามีตัวตนอยู่ยังไงล่ะ" เด็กสาวเอ่ยหนักแน่นที่สุด "เพราะเขาช่วยวิญญาณของพวกท่านอีกคนหนึ่งให้เป็นอิสระ...รวมทั้งตัวข้าอีกคนหนึ่ง แม้วิญญาณที่กลับไปเกิดใหม่จะไร้ความทรงจำเดิม...ข้าก็ยังเชื่อว่าระหว่างวิญญาณพวกนั้นกับท่าน...กับคนที่พวกเขาเคยรัก...มีสายใยผูกพันกันอยู่ บางที...สักวันหนึ่งเราอาจได้พบกับเขา ในฐานะสิ่งที่ดีกว่านี้...สิ่งที่มีสิทธิ์ในชีวิตของตนมากกว่านี้ นั่นยังดีกว่าคงอยู่ในฐานะอำนาจที่ไม่เหลือความนึกคิดอะไรอีกไม่ใช่หรือ

"แสดงให้พวกเทพที่เห็นเราเป็นเบี้ยได้เห็นสิ! ว่าพวกเราไม่ใช่ทาสของพวกมัน! ไม่ใช่สิ่งที่มันจะชี้นิ้วสั่งได้ตามอำเภอใจ!!"

เด็กสาวผู้เป็นอีกด้านหนึ่งของโมโนกวาดสายตามองทุกคน ใจเริ่มร้อนรนเมื่อสัมผัสได้ว่าเบื้องนอกนั้นคนจรกำลังต้านดอร์มินอย่างยากลำบาก เวลาเหมือนจะเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกินกระทั่งมีคนหนึ่งตรงหน้าเธอเอ่ยขึ้น

"ข้าเห็นด้วย" เด็กสาวผู้พูดมีดวงตาแน่วแน่แม้นจะไร้แวว "การเป็นที่รักเป็นยังไง...ข้ารู้ดีจากตัวข้าอีกคนหนึ่ง ข้าเคยนึกอยากให้นางกับเขาได้อยู่ด้วยกัน แล้วข้าก็...อยากให้โอกาสกับน้องสาวของเราด้วย"

"ข้าว่าจะสุริยเทพหรืออสุรเทพก็ไม่แยแสความรู้สึกกับพวกเราเหมือนกันจริงๆ นั่นล่ะ" เด็กหนุ่มอีกคนเสริมพร้อมกับยักไหล่

"แต่ว่า..."

"ข้าเองก็อยากพบพ่อแม่ของข้าเหมือนกัน"

"ชายที่ข้ารักคนนั้น...เขาก็ตั้งใจจะทำแบบเดียวกับคนที่รักเจ้า ถ้าในตอนนั้นเขามาที่นี่และทำสำเร็จ...ข้าก็คงอยากช่วยเขาเหมือนกัน"

"พวกเราจะต่อต้านเทพบิดาได้หรือ"

"ตายอย่างพวกมนุษย์...ก็ยังดีกว่าอยู่แบบไร้จิตใจไปชั่วนิรันดร์นั่นล่ะ"

เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นในหมู่ผู้ถูกเลือกทั้งสิบห้าขณะที่ความคิดเห็นของทุกคนแตกต่างกันไปต่างๆ นานา ก่อนที่โมโนอีกคนหนึ่งจะพูดดังขึ้นกว่าคนอื่นๆ

"หากใครเห็นด้วยกับข้า ก็มารวมพลังกันเถอะ จะชนะหรือแพ้ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือ...เราจะพยายาม"

เมื่อใดที่พยายาม...ตัวตนของพวกเราจะมีความหมายขึ้นมา นั่นคือสิ่งที่มนุษย์ที่มีชีวิตอันเปราะบางยึดมั่นมิใช่หรือ

พี่คนหนึ่งจับมือข้างหนึ่งของเธอที่ยื่นออกไป อีกคนหนึ่งจับมืออีกข้าง ต่อเนื่องกันจนวนรอบทุกคน ดวงตาดำมืดของเด็กสาวเลื่อนไปสบกับแต่ละคนโดยเร็วก่อนจะพยักหน้า รวบรวมอำนาจแต่ละขุมและตั้งจิตแผ่มันออกไปด้านนอก

...ยังที่ที่เขากำลังต่อสู้อยู่...


แวบหนึ่ง...เธอคิดว่าพวกเธอชนะแล้ว

พวกเธอกับเขาต่อต้านดอร์มินไว้ได้สำเร็จ เธอกำลังจะบอกให้พี่ๆ ช่วยกันร่ายมนตร์ขับไล่ดอร์มินไปจากร่างของเขาพอดี เมื่อแสงสว่างเจิดจ้าวาบขึ้นพร้อมกับแรงลมประหลาดที่พัดเข้ามาถึงมิติภายใน แรงกระทั่งพวกเธอทั้งสิบหกทรุดล้มกระจัดกระจาย มือคลายจากกัน

"มนตร์ชำระล้าง!!" เสียงของใครบางคนร้องขึ้น เรียกความกลัวจับจิตให้เข้ามาอยู่ในห้วงสำนึกของเด็กสาว

ไม่มีใครรู้ว่าปลายทางของเหล่าผู้ข้องแวะกับอำนาจมืดจะเป็นอย่างไรหลังมนตร์บทนี้

จิตของดอร์มินดับลงโดยเร็ว จากนั้นจิตของเหล่าพี่ๆ ที่เธอเพิ่งพบพานไม่นานก็ค่อยๆ เลือนรางหายไป

ต่อไปคงจะเป็นเธอ...และคนจร

ไม่ได้นะ เขาอุตส่าห์ฝ่าฟันมาถึงขั้นนี้แล้ว โมโนเองก็กำลังจะตื่นขึ้นมา จะให้เขาสลายไปพร้อมกับพวกเรา...แล้วให้ตัวข้าอีกคนหนึ่งอยู่ตามลำพังแบบนี้ได้ยังไง!! เด็กสาวร่ำร้องพร้อมกับเร่งคิด

ต้องมีสักทางสิ...ต้องมีสักทางที่จะให้เขารอดไปได้

เธอลองใช้วิธีแรกที่วาบขึ้นในความคิด วิธีที่แสนเสี่ยงและไร้หลักประกัน แต่หากได้ผล...อย่างน้อยเขาก็จะรอดชีวิตมาอยู่กับโมโนได้

เด็กสาวรีบรวบรวมพลังเท่าที่มีอยู่ร่ายมนตร์ตามที่ใจนึก รีดเค้นอำนาจทั้งหมดที่มีจนสิ้นกระทั่งไม่ได้บอกเขาว่าตนกำลังจะทำอะไร

กระนั้นเธอยังรู้สึกได้ว่ามนตร์เริ่มได้ผลเอาเมื่อร่างของเขาถูกฉุดดึงเข้าใกล้บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เข้าทุกที...ชั่วเสี้ยววินาทีก่อนเธอจะหลุดจากร่างนั้น ดั่งใบไม้ปลิดปลิวตามพายุ

แต่เด็กสาวก็ยิ้มอย่างพอใจ อย่างน้อยก็ยังมีสิ่งที่เธอทำสำเร็จ

...ก่อนที่ตัวตนอันเปราะบางของเธอจะถูกอำนาจชำระล้างจนสิ้น...

...ขอบคุณนะคะ...พี่คนจร...

...ขอบคุณนะคะ...ที่ทำให้ข้าเข้าใจสิ่งที่ข้าเคยคิดว่า 'เปราะบาง' พวกนี้...


Note: ในที่สุด ไซด์สตอรี่ของดาร์คโมโนก็ออกมาจนได้ :)

ผมอยากเขียนเรื่องของเธอมาก และพอเขียนแล้วก็รู้สึกว่ายากเหลือเกิน ที่จะทำความเข้าใจลูกสาวที่ไม่ใช่มนุษย์อย่างเธอ เหมือนกับว่ากระทั่งกับพ่อ (ทั้งอสุรเทพทั้งคนเขียน) เธอยังไม่ยอมพูดความจริงออกมาด้วยตรงๆ เลย

อันที่จริงอยากเขียนตอนที่เป็นมุมมองของเธอในตอนเด็กๆ ที่ได้พบกับโมโนเหมือนกัน แต่ช่วงนี้เกิดนึกอยากเขียนเบื้องหลังความในใจของเธอกับคนจรออกมา จึงได้เป็นตอนที่ค่อนข้างมีลักษณะคล้าย recap episode เอาฉากที่เคยเขียนมาแล้วมาย้อนใหม่โดยใส่มุมมองของหนูดาร์คโมเข้าไปแทน คงเป็นเพราะตอนที่เธอมีบทบาทให้เราเห็นนั้น แม้จะค่อนข้างน้อยแต่ก็ชวนให้อยากเข้าใจความคิดความรู้สึกของเธอจริงๆ

สำหรับตอนท้าย ขออุบไว้เป็นปริศนาแล้วกันครับว่าหนูดาร์คโม "มีเอี่ยว" ทำอะไรเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อช่วยจอห์น

ไว้เฉลยในภาค 2 เห็นจะมันส์กว่าขอรับ :)

สำหรับตอนนี้ เนื่องจากมีย้อนเยอะ และมีผู้อ่านบอกมาว่าออกจะสับสนว่าฉากไหนเกิดขึ้นตอนไหน ผมเลยทำสรุปย่อกับเทียบตอนในเนื้อเรื่องหลักให้ครับ

ฉากแรก ก่อนบทที่ 28 - สัญญาทั้งสาม ดาร์คโมโนนำยาไปทิ้งและนำดาบกลับมา

ฉากที่สอง - บทที่ 30 - คืนแห่งคราส ดาร์คโมโนสะกดคนจร และมีย้อนอดีตไปถึงคนจรกับโมโนในตอนออกเดินทางช่วงแรกๆ

ฉากที่สาม - บทที่ 37 - เถระ อสูร มนุษย์  ดาร์คโมโนพยายามเกลี้ยกล่อมคนจร แต่ถูกคนจรป้อนยา

ฉากที่สี่ - หลังบทที่ 38 - ผู้ตามล่า โมโนถูกขังไว้ในอาราม และพูดคุยกับดาร์คโมโน

ฉากที่ห้า - บทที่ 50 - ทลายพิธีกรรม คนจรเกลี้ยกล่อมโมโนในยอมออกไปจากความฝัน

ฉากที่หก - บทที่ 52 - คืนชีพ ดาร์คโมโนช่วยคนจรที่ถูกดอร์มินกดวิญญาณไว้ แล้วเกลี้ยกล่อมผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ

ฉากสุดท้าย - บทที่ 52 - คืนชีพ ดาร์คโมโนพยายามช่วยคนจรก่อนถูกมนตร์ชำระล้าง

ขอบคุณคุณ Dark~Pikachu สำหรับคำแนะนำครับ :)