Mono and Yaheem's Side Story
Flowers on the Stormy Sea...?


ขอขอบคุณคุณ Runaway Guy ต้นไอเดียของเรื่อง และบทสนทนาต่อยอดใน msn และขอบคุณคุณ Blue Mouse สำหรับฉากต่อ (หลังเครื่องหมาย *** ) จนจบสมบูรณ์ขึ้นขอรับ :)

 

"ยาฮีม---!!" เสียงฝีเท้าตึกตักกับเสียงเล็กๆ ดังแว่วเข้าหูเด็กหนุ่มที่ยังขยับไม้กวาดไม่หยุดมือมาแต่ไกล

คราวนี้มีอะไรอีกล่ะนี่  เด็กหนุ่มหันกลับไปมองเด็กหญิงชุดขาวที่วิ่งปร๋อเข้ามาใกล้

มือเล็กๆ คู่นั้นประคองหนังสือเล่มไม่หนานักมาด้วย ซึ่งก็น่าแปลก เพราะเด็กหญิงไม่น่าจะเอาหนังสือมาให้เขาช่วยอ่านให้ฟัง ตัวเธอเองอ่านหนังสือคล่องเกินวัย ซ้ำหากจะถามความหมายของคำไหนที่ไม่รู้จัก เธอก็ถามพระเถระ หรือคนที่อายุมากกว่าเขามาตลอด

"มีอะไรหรือขอรับ ท่านหญิงโมโน"

คำตอบมีแต่เสียงหอบจากเด็กหญิงที่รีบวิ่งมาจนหน้าแดงก่ำ อีกครู่หนึ่งเธอถึงพูดละล่ำละลัก

"ยาฮีม......พา...ข้า...ไปทะ...ทะเล...ได้มั้ย"

"ทะเล" เด็กหนุ่มทวนคำอย่างงงๆ "จะได้ยังไงล่ะขอรับ ทะเลอยู่ไกลจากที่นี่ออก"

"...ก็ข้าอยากเห็นทะเลนี่นา" เด็กหญิงพูดหนักแน่น "ข้าอยากไปทะเล...ทะเลที่มีดอกไม้สวยๆ ด้วยนะ"

ยาฮีมยิ่งขมวดคิ้วอย่างสงสัย

"ไม่มีทะเลที่มีดอกไม้หรอกขอรับ ทะเลที่ไหนๆ ก็มีแต่น้ำกับทรายเท่านั้นแหละ"

"แต่เจ้าชายกับเจ้าหญิงยังไปดูดอกไม้กลางทะเลได้เลยนี่นา" โมโนยังแย้งพร้อมกับชูหนังสือขึ้นตรงหน้า "ในนี้ยังมีเขียนไว้เลย"

"...ได้ยังไงขอรับ"

"ก็...เจ้าชายกับเจ้าหญิงมาเจอกัน ทั้งสองคนบอกรักกัน แล้วก็จูบกัน แล้วก็มาอยู่ที่ทะเล แล้วทีนี้ก็เกิดพายุ แต่พอพายุสงบลง แดดก็ส่อง แล้วดอกไม้สวยๆ ก็บาน ข้าไม่เคยไปทะเล แล้วก็อยากเห็นดอกไม้สวยๆ เลยอยากไปดูทั้งสองอย่างพร้อมกันไง"

ใบหน้าของเด็กหนุ่มวัยสิบสี่ร้อนผ่าวทันควันเมื่อเริ่มเข้าใจความหมาย...ที่เด็กหญิงวัยแปดย่างเก้าขวบยังไม่เข้าใจแน่ๆ

"...ท่านหญิงไปเอาหนังสือเล่มนี้มาจากไหนขอรับ!"

"อืม..." เด็กหญิงนิ่งคิด "ห้องหนังสือของอารามมั้ง"

ห้องหนังสือของอารามจะมีหนังสือแบบนี้อยู่ได้ยังไงกัน ยาฮีมคิดว่าเขาต้องหาทางเอาหนังสือเล่มนี้ไปให้พระเถระ 'จัดการ' โดยเร็วที่สุด

"...ข้าขอยืมไปอ่านก่อนได้ไหมครับ"

"ไม่ได้ๆ ข้ายังอ่านไม่จบเลย อ่านถึงตอนนี้แล้วสงสัยเลยวิ่งมาถามยาฮีมนี่แหละ" โมโนไม่พูดเปล่า กลับเอาหนังสือไปซ่อนไว้ข้างหลังเสียด้วย

"แต่ถ้าท่านหญิง...เอ่อ...อยากไปดูดอกไม้กลางทะเล ให้ข้าอ่านก่อนดีกว่าขอรับ ไม่แน่ข้าอาจจะรู้ก็ได้ว่าทะเลที่สองคนนั้นไปอยู่ที่ไหน จะได้พาท่านไปได้"

"งั้นก็ได้" เด็กหญิงยื่นหนังสือออกมาข้างหน้า แต่พูดต่อก่อนที่เขาจะทันได้รับ "แต่ยาฮีมต้องสัญญาก่อนนะว่าจะพาข้าไปจริงๆ"

เอาล่ะสิ...โมโนไม่ใช่คนขี้ลืม ลองขอให้สัญญาขึ้นมาแล้วเขาแกล้งทำเป็นลืม เธอคงได้ทวงทุกวันแน่แท้

"...เอ่อ..." เด็กหนุ่มเริ่มอึกอัก "ข้ายังไม่รู้เลยนี่ขอรับว่าทะเลนั่นไกลหรือเปล่า ไม่แน่ใจว่าจะพาไปได้ไหม"

"งั้นก็ไม่ให้อ่าน" เด็กหญิงสรุปง่ายๆ ก่อนจะรีบยิ้มแล้วพูดต่อเมื่อเห็นสีหน้าของเขา "แค่ตอนนี้แหละ ข้าอ่านหนังสือเร็วออก เดี๋ยวจบแล้วให้ยาฮีมยืมอ่านต่อก็ได้"

"...ขอบคุณมากขอรับ" ยาฮีมค่อยโล่งอก บางทีหลังโมโนอ่านจบแล้ว เขาค่อยเอาหนังสือไปให้พระเถระคงยังไม่สายเกินไป แต่พอร่างน้อยทำท่าจะวิ่งผ่านเขาไปทางประตูอารามทั้งๆ ที่ยังถือหนังสือนั้นอยู่ เขาเลยรีบถามทันควัน

"...ท่านหญิงจะไปไหนขอรับ"

"ไปหาท่านปู่โยเรไง" เด็กหญิงเหลียวกลับมาตอบ "ท่านปู่น่าจะรู้ว่าทะเลที่มีดอกไม้อยู่ที่ไหน ข้าจะไปถามดู"

"...ไม่ได้ขอรับ!" เด็กหนุ่มแทบร้องเสียงหลง

"ทำไมล่ะ" โมโนทำหน้าง้ำ

"...ก็..." ยาฮีมนึกหาเหตุผลเป็นพัลวัน "ก็ช่วงนี้ท่านปู่กำลังเตรียมตัวไปล่านกเป็ดน้ำ เลยกำลังยุ่งอยู่นี่ขอรับ เดี๋ยวจะรบกวนท่านเปล่าๆ"

เด็กหญิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเหมือนเห็นด้วย แต่ยังไม่วายถาม

"งั้นข้าจะไปถามใครดีล่ะ"

เด็กหนุ่มสะอึกกึก ไม่ได้! เรื่องแบบนี้จะให้โมโนเอาไปพูดกับผู้ใหญ่คนอื่นไม่ได้เด็ดขาด โดยเฉพาะผู้ชาย กระทั่งพระเถระก็ไม่ได้

แต่ถ้าเป็นผู้หญิง...อย่างน้อยก็คงรู้ว่าจะรับมือกับคำถามแบบนี้ยังไงกระมัง

"ทำไมไม่ถามเมยาล่ะขอรับ"

อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าดิกจนผมสีดำแทบปลิว

"เมยาคงไม่รู้หรอก ก็เมยาไม่เคยออกไปทะเลเลยนี่นา แล้วกระทั่งชื่อเมืองกับแม่น้ำสำคัญในซาเกรดา โซล ข้ายังจำได้มากกว่าเมยาด้วยซ้ำ"

"แต่ถ้าไม่ลองถามก็ไม่รู้นะขอรับ"

"ตอนนี้เมยาไปซื้อของ กว่าจะกลับมาก็คงเย็นโน่น"

ยาฮีมเพิ่งนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันที่หญิงรับใช้คนเดียวของอารามต้องออกไปซื้อของจำเป็นในรอบสัปดาห์จริงๆ เป็นอันว่าไม่เหลือใครที่จะช่วยเขาเรื่องหนังสือเล่มนี้ได้เลย

"ถ้าอย่างนั้น...ข้าขออ่านหนังสือเล่มนั้นตอนนี้ได้ไหมครับ แค่หน้าที่ท่านว่ามาก็ได้ เผื่อจะตอบได้ว่าทะเลนั้นอยู่ที่ไหน"

"ไม่เป็นไร ยาฮีมยังต้องกวาดลานอารามอีกไม่ใช่เหรอ ช่วงนี้ท่านเอมอนน่าจะว่าง เดี๋ยวข้าไปถามท่านแทนก็ได้"

"...ไม่เป็นไรครับ อ่านแค่เดี๋ยวเดียวไม่ถึงกับเสียงานหรอก" เด็กหนุ่มกระวีกระวาดเอาไม้กวาดไปพิงม้านั่งแล้วรีบกลับมาหา เด็กหญิงเลยพลิกหาหน้าหนังสือส่งให้

ยาฮีมยอมรับว่าตนอ่านหนังสือไม่เก่งนัก ยิ่งเรื่องที่เป็นโคลงกลอนก็ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจมากกว่าคนอื่น แต่พออ่านบทฝากรัก โอบกอดพรมจุมพิตไปจนถึงทะเลพายุและดอกไม้ผลิบานตามที่โมโนว่ามา หน้าของเขาก็ยิ่งขึ้นสีด้วยความแน่ใจ

...เป็นอย่างที่เขากลัวจริงๆ ด้วย...

"เป็นไงมั่ง" โมโนถามพลางเอียงคอดูสีหน้าของเขาหลังผ่านไปพักหนึ่ง "ยาฮีมรู้ไหมว่าพวกเขาไปทะเลที่ไหน"

"...ก็...ก็...พอรู้น่ะขอรับ" เด็กหนุ่มตอบอ้อมแอ้มก่อนจะกลืนน้ำลายฝืดๆ เร่งคิดหาคำตอบที่เข้าท่าเป็นการหนัก

"งั้นบอกข้ามาสิ" คนอายุน้อยกว่าเร่งเร้า

"อืม...ทะเล...ที่พวกเขาไป ไม่ใช่ทะเลที่มีอยู่จริงๆ ในโลกนี้ขอรับ" ยาฮีมเสี่ยงพูด "แต่เป็นทะเลที่ไปได้ด้วย...เอ่อ...เวทมนตร์...เวทมนตร์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อคนสองคนมีความรักแท้ต่อกันเท่านั้น"

เกิดองครักษ์ประจำอารามคนไหนมาได้ยินเข้าคงมีอันหัวเราะครืนที่เขาพูดจาหวานเลี่ยนแบบนี้ แต่เด็กหญิงดูท่าจะทึ่งเสียเหลือเกิน

"อ๋อ! เพราะอย่างนี้เลยต้องจูบกันก่อนใช่ไหม เห็นเมยาบอกว่าเวลาที่ผู้ชายกับผู้หญิงจูบกัน...แสดงว่าสองคนนั้นรักกันนี่"

"...ใช่ขอรับ"

"อย่างนี้นี่เอง พอจูบกันแล้ว เวทมนตร์ก็พาสองคนนี้ไปที่ทะเลที่มีดอกไม้ในทันที ข้าสงสัยอยู่เหมือนกันว่าจากห้องนอนของเจ้าหญิง ปุบปับกลายเป็นทะเลไปเลยได้ยังไง"

ยาฮีมลอบถอนใจ อย่างน้อยโมโนก็พอได้รับคำตอบให้เข้าใจแล้ว คงไม่ไปถามผู้ใหญ่คนอื่น และถ้าบอกว่าเป็นทะเลเวทมนตร์ ก็เป็นอันตัดปัญหาที่เธอจะรบเร้าพาเขาไปได้ เพราะเขาไม่มีเวทมนตร์อยู่แล้ว

แต่คำพูดต่อมาของเด็กหญิงทำเอาเขาแทบสำลัก

"งั้นยาฮีมรักข้าได้ไหม จูบข้าแล้วพาข้าไปทะเลทีนะ"

"ไม่ได้ขอรับ! ยังไงก็ไม่ได้เด็ดขาด!!" เด็กหนุ่มแทบตะโกนออกมาดังๆ ทว่าสีหน้าสงสัยแบบซื่อๆ ของอีกฝ่ายทำให้ต้องรีบพูดเสียงอ่อนลง "...ขอโทษขอรับท่านหญิง แต่ข้ารักท่านไม่ได้จริงๆ"

"ทำไมล่ะ ข้าไม่น่ารักเหรอ" โมโนกระพริบดวงตาดำขลับปริบๆ

"...ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ" ยาฮีมเสมองขึ้นหลบสายตาคนตัวเล็กกว่า "แต่...เอ่อ...ท่านหญิงเป็นผู้ถูกเลือกให้รับใช้องค์สุริยเทพ ท่านหญิงจะรักใครแบบ...แบบนั้นไม่ได้ขอรับ"

"แต่ข้าไม่ต้องแต่งงานกับองค์สุริยเทพซักหน่อยนี่ ก็องค์สุริยเทพมีชายาอยู่แล้ว แล้วท่านเอมอนก็บอกว่าไปรักคนที่แต่งงานแล้วเป็นบาปด้วย"

"ตามกฎ ยังไงก็ไม่ได้ขอรับ"

"แต่ทำไมข้าถึงรักใครไม่ได้ล่ะ เขาว่าความรักเป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่เหรอ ท่านเอมอนบอกว่าองค์สุริยเทพอยากให้พวกเราทำดี ถ้าข้าจะรักใคร จะจูบใคร ก็ไม่น่าจะผิดนี่นา เพราะข้าทำให้เขาดีใจ แล้วทำไมถึงไม่ได้ล่ะ"

เด็กหนุ่มนิ่งอึ้งเป็นครั้งที่เท่าไรตนเองก็ลืมนับ แอบถามในใจไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงต้องเป็นคนหาเหตุผลของเรื่องแบบนี้มาตอบเด็กหญิงด้วย

"ก็...ก็เพราะท่านหญิงแต่งงานกับใครไม่ได้นี่ขอรับ เพราะพออายุสิบเจ็ด องค์สุริยเทพจะมารับท่านหญิงไปในดินแดนของพระองค์นี่ขอรับ ถ้าท่านหญิงไปรักใคร...เขาก็ต้องเสียใจที่ไม่ได้อยู่กับท่านหญิงน่ะสิ"

โมโนพยักหน้าน้อยๆ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะเปรยให้เขาโล่งอก

"นั่นสินะ" กระนั้นเสียงเล็กๆ ยังไม่วายตัดพ้อ "แย่จัง ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่มีโอกาสได้เห็นดอกไม้กลางทะเลน่ะสิ"

"แต่ท่านหญิงจะได้เห็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสุริยเทพที่พวกเราหลายคนไม่ได้เห็นแทนนี่ขอรับ" ยาฮีมพยายามปลอบ ทว่าเด็กหญิงดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจฟังนัก และกลับหันมาถามเขาด้วยท่าทางอยากรู้

"แล้วยาฮีมรู้ได้ไงว่านั่นเป็นทะเลเวทมนตร์ เคยไปดูมาก่อนเหรอ"

"...จะไปเคยได้ไงขอรับ!!" เด็กหนุ่มแทบสำลัก

"ทำไมยาฮีมหน้าแดงแจ๋เลยล่ะ" คำถามต่อมาของโมโนยิ่งเร่งความร้อนให้ผิวหน้าของเขาเข้าไปใหญ่ "อายเหรอที่ไม่เคยไปดู ไม่ต้องอายหรอก ข้าก็ไม่เคยไปดูเหมือนกันแหละ แถมยาฮีมยังบอกว่าข้าไปดูไม่ได้ด้วยนี่"

"...ไม่ได้อายเพราะเรื่องนั้นขอรับ แต่ว่า..."

องค์สุริยเทพทรงโปรดเถอะ เขาจะอธิบายให้โมโนฟังได้ยังไงว่าเรื่องนี้มันน่าอายตรงไหน

"แต่ว่าอะไร"

"แต่ว่า...เอ่อ...แต่ว่า...ข้าไม่ได้อายอะไรหรอก แต่รู้สึกปวดหัวหน่อยๆ คงเป็นไข้ซะแล้วขอรับ"

"เหรอ"

เด็กหญิงก้าวเข้ามาใกล้แล้วเขย่งเท้าขึ้น ส่งมือเล็กๆ ขึ้นมาแตะที่แก้ม (ทว่าเป้าหมายจริงๆ คงเป็นที่หน้าผากของเขา)

"ตัวร้อนจริงๆ ด้วย รีบไปนอนพักเถอะ" ยาฮีมยืนตัวแข็งทื่อจนอีกฝ่ายลดมือลง แล้ววิ่งไปคว้าไม้กวาดด้ามยาวมาถือไว้ "เดี๋ยวข้ากวาดลานให้เอง"

"...ไม่ได้หรอกขอรับ ท่านหญิงจะทำงานได้ยังไง เดี๋ยวข้ากวาดเสร็จแล้วจะรีบไปพักเองขอรับ"

"แน่นะ" โมโนจ้องเขาอย่างจริงจัง มือหนึ่งถือไม้กวาด อีกมือเท้าสะเอวเลียนแบบเมยา ซ้ำคำพูดที่ตามมาก็ถอดกันไม่มีผิด "ยาฮีมชอบทำงานเกินตัวอยู่เรื่อย ข้าเป็นห่วงนะ"

"ไม่เกินตัวหรอกขอรับ กวาดใบไม้แค่นี้เอง"

"สัญญานะว่าจะรีบพัก" เด็กหญิงยื่นมือข้างที่ว่างออกมาตรงหน้าพร้อมกับนิ้วก้อยเล็กๆ เด็กหนุ่มเลยจำใจเกี่ยวก้อยด้วยแวบหนึ่ง แม้นจะอดยิ้มน้อยๆ ไม่ได้เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วง

บางที...ถ้าทั้งสองโตขึ้นมาแบบพี่น้องกันจริงๆ...คงได้เกี่ยวก้อยกันบ่อยกว่านี้เยอะกระมัง

"เดี๋ยวข้ารออยู่ตรงนี้แหละ" โมโนส่งไม้กวาดให้แล้ววิ่งตึกตักไปนั่งที่ม้านั่งหินใกล้ๆ "ถ้ายาฮีมกวาดเสร็จแล้ว จะไปส่งยาฮีมถึงห้องเลย แล้วจะได้เช็ดตัวให้ด้วย"

"...แค่ส่งถึงห้องก็พอแล้วขอรับ ไม่ต้องเช็ดตัวให้หรอก" อาการหน้าร้อนผ่าวกลับมาหายาฮีมอีกครั้ง

"แต่ตอนข้าเป็นไข้ เมยายังเช็ดตัวให้ข้าเลย เช็ดตัวแล้วสบายขึ้นเยอะนะ"

"แต่ท่านหญิงเป็นผู้หญิง...เช็ดตัวให้ข้าไม่ได้นะขอรับ"

"แล้วทำไมเมยาบอกข้าว่านางเคยเช็ดตัวให้ยาฮีมตอนไม่สบายล่ะ"

...ทำไมโมโนถึงความจำดีกับเรื่องแบบนี้นักนะ...

"ข้าหมายความว่าท่านเป็นท่านหญิง เช็ดตัวให้ใครๆ ไม่ได้ขอรับ เพราะองค์สุริยเทพห้ามไว้"

"ฮื้อ" เด็กหญิงทำเสียงไม่พอใจ ยาฮีมเหลือบเห็นเธอแกว่งสองขาแรงๆ "เช็ดตัวก็ทำให้คนอื่นรู้สึกดีนี่นา ทำไมองค์สุริยเทพต้องห้ามข้าด้วย"

"ข้าไม่ใช่นักบวช ก็ไม่รู้ว่าทำไมหรอกขอรับ"

"หมายความว่าท่านเอมอนรู้เหรอ"

"น่าจะทราบขอรับ" เอาเถอะ อย่างน้อยพระเถระน่าจะมีคำตอบให้โมโนดีกว่าเขา

เด็กหญิงกลับเงียบไป เด็กหนุ่มหันไปเห็นเธอกำลังอ่านหนังสือต่อ เขาเลยได้แต่ถอนใจก่อนจะตั้งหน้าตั้งตากวาดใบไม้ร่วงต่อ กะว่าคงต้องให้โมโนอ่านจบแล้วค่อยหาเรื่องขอยืมต่อแล้วนำไปให้พระเถระให้ได้

แต่พอผ่านไปอีกพักหนึ่ง เสียงเรียกตื่นเต้นด้านหลังก็ทำเอาเขาสะดุ้งโหยง

"ยาฮีม! เจ้าหญิงมีเด็กด้วยล่ะ!!"

กรรม...ทำไมมันเร็วอย่างนี้ เอ๊ย ไม่ใช่ ทำไมคนแต่งเรื่องถึงเขียนได้ตามแบบฉบับที่เขากลัวว่าต้องอธิบายแบบนี้หนอ

"อ่านแล้วข้าเพิ่งนึกได้ คือข้าสงสัยมานานแล้วว่าเด็กเกิดมาได้ยังไง ยาฮีมรู้ไหม"

เด็กหนุ่มกัดริมฝีปาก หน้าร้อนจนหูอื้อ ไม่อยากบอกเลยว่าเขารู้ก่อนวัยที่ควรรู้มานานขนาดไหน มิหนำซ้ำคำพูดขององครักษ์ประจำอารามบางคน (ที่เขาได้ยินโดยไม่ได้ตั้งใจแอบฟัง) ถึงประสบการณ์หลบหลังพุ่มไม้ชายสวนในวันเทศกาลเก็บผลเอรี ซึ่งเรียกคำเตือนจากเพื่อนองครักษ์ประจำอารามคนอื่นๆ ให้ระวังกลายเป็นพ่อก่อนวัยอันควร และคำอธิบายเคล็ดลับวิธีป้องกันที่เชื่อกันมาก็...ละเอียดดีเกินพอ

"......ข้าไม่รู้หรอกขอรับ" เดี๋ยวเขาคงต้องไปสารภาพบาปกับพระเถระว่าตนเองมุสา แต่ถึงต้องไปอธิบายให้ท่านฟังว่ามุสาเรื่องอะไร ก็ยังดีกว่าต้องอธิบายเรื่องแบบนี้ให้โมโนฟังแน่ๆ "ทำไมไม่ถามเมยาล่ะขอรับ ผู้หญิงเป็นคนดูแลเด็ก น่าจะรู้มากกว่าผู้ชายนะขอรับ"

"เคยถามแล้ว แต่เมยาไม่ยอมตอบ บอกว่าเรื่องแบบนี้ต้องเป็นผู้ใหญ่ก่อนถึงจะรู้ แต่เมยาก็ยังบอกว่าข้าไม่ต้องมีลูก ไม่ต้องรู้ไปตลอดก็ได้" เด็กหญิงตอบกระเง้ากระงอด "ข้านึกว่ายาฮีมเป็นผู้ใหญ่แล้ว น่าจะรู้ซะอีก"

"ข้าอายุแค่สิบสี่ ยังไม่เป็นผู้ใหญ่หรอกขอรับ"

"แต่เมื่อวันก่อนตอนออกไปหาท่านปู่โยเร ข้าแอบได้ยินพวกเด็กผู้หญิงที่กำลังซักผ้าอยู่คุยกันว่าเห็นคนที่ชื่อเอเลจูบกับองครักษ์ในอารามของเราคนหนึ่งล่ะ ข้าได้ยินชื่อไม่ถนัด แต่ข้าจำได้ว่าเมยาบอกข้าว่ามีแต่ผู้ใหญ่ที่จูบกันได้ เอเลก็อายุพอๆ ยาฮีม ทำไมยาฮีมจะยังไม่เป็นผู้ใหญ่ล่ะ"

ยาฮีมทำไม้กวาดหลุดจากมือ เอเลนั่นชื่อลูกพี่ลูกน้องของเขากับโมโนนี่นา

ใช่แล้ว...เด็กผู้หญิงที่ชวนเขาเล่นบ่อยๆ ที่บ้านของป้า ตอนที่แม่ไปหายาย ถึงหลังๆ มาทั้งสองจะไม่ได้ทักทายพูดคุยกันเลย เขาก็ยังเห็นเอเลกับพี่ชายของเธอบ้างเป็นบางครั้ง

ภาวนาอย่าให้ลุงกับป้ารู้เลย...แล้วก็ภาวนาอย่าให้เอเลทำอะไรมากกว่านี้ เดี๋ยวเรื่องของแม่เขาจะถูกยกขึ้นมาเป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีอีก แล้วถ้าเรื่องไปเข้าหูโมโนล่ะก็...

"เป็นอะไรไปเหรอยาฮีม ทำไม้กวาดล้มโครมใหญ่เลย"

"...ไม่มีอะไรขอรับ ตะกี้ข้าวิงเวียนไปแวบหนึ่งเท่านั้นเอง" เด็กหนุ่มรีบตอบ แต่แทนที่จะเก็บไ้ม้กวาดขึ้น กลับเดินไปตรงหน้าอีกฝ่ายพร้อมกับพูดเสียงเครียด "ท่านหญิงขอรับ สัญญากับข้าได้ไหมขอรับว่าอย่าเอาเรื่องที่เอเลจูบกับใครไปบอกคนอื่น"

"เอ๋ ทำไมเหรอ" โมโนถามอย่างสงสัย

"เรื่องที่ว่าใครจูบกับใคร...ไม่ใช่เรื่องที่ควรพูดขอรับ"

"แล้วทำไมหนังสือถึงเขียนว่าเจ้าชายจูบกับเจ้าหญิงได้ล่ะ"

"ก็เพราะเจ้าชายกับเจ้าหญิงมีแต่ในตำนาน แต่ในความเป็นจริง คนเราไม่ควรจูบกันนอกจากจะแต่งงานกันแล้วขอรับ"

"จูบเกี่ยวอะไรกับแต่งงานเหรอ"

"จูบแรกในชีวิตควรเป็นจูบในพิธีแต่งงานเท่านั้น จูบก่อนหน้านั้นถือเป็นบาป ท่านหญิงโมโนไม่ควรรู้ว่ามีใครทำบาป หรือพูดถึงคนที่ทำบาปขอรับ"

"ถ้าอย่างนั้นข้าก็ห้ามพูดถึงท่านปู่โยเรด้วยสิ ก็ท่านปู่โยเรฆ่าสัตว์เป็นประจำนี่นา"

"นั่นไม่เหมือนกันขอรับ คือ..." ยาฮีมเริ่มนึกเหตุผลไม่ออก "...คือ...ท่านปู่โยเรจำเป็นต้องฆ่าสัตว์ เพื่อให้ตัวท่านกับคนอื่นๆ ได้มีอาหารกิน ถือเป็นการเสียสละยอมทำบาป แต่การจูบนั้นไม่จำเป็น เลยถือเป็นบาปกว่าขอรับ"

สีหน้าของโมโนดูไม่เข้าใจนัก เด็กหนุ่มเลยย้ำแทน

"เอาเป็นว่ายังไงก็อย่าพูดแล้วกันขอรับ ถ้าท่านหญิงเห็นแก่ข้า"

"...ได้" เด็กหญิงพยักหน้าก่อนจะพยายามยิ้มเฝื่อนๆ "ยาฮีมไม่เห็นต้องทำหน้าดุอย่างนั้นก็ได้"

คำถามนั้นทำเอาเด็กหนุ่มชะงักไป ก่อนจะฝืนยิ้มตอบ

"ขออภัยขอรับ แต่ข้าไม่อยากให้ท่านหญิงพูดเรื่องนี้จริงๆ"

"ถ้ายาฮีมไม่อยากให้ข้าพูด ข้าจะไม่พูดหรอก" โมโนตอบง่ายๆ "แต่อย่าทำหน้าแบบนั้นอีกเลย น่ากลัวออก"

"...ขอรับ" ยาฮีมรีบรับก่อนจะผละไปหยิบไม้กวาดมากวาดต่อ

นี่เราดูน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ

เด็กหนุ่มอดคิดไม่ได้เมื่อรอบข้างมีเพียงเสียงไม้กวาดแสกสากบนพื้นหิน หรือจะเป็นเพราะเด็กหญิงยังเกรงเขาไม่หาย เธอจึงได้อ่านหนังสือไปเงียบๆ ตลอด จนกระทั่ง...

"เสร็จแล้วขอรับ"

โมโนแทบกระโดดขึ้นจากม้านั่งเมื่อเขาเก็บไม้กวาดแล้วก้าวเข้าไปหา ว่าแล้วคนบอกว่าจะพาเขาไปส่งถึงห้องนอนก็วิ่งปร๋อโดยไม่พูดอะไร ให้เขาได้แต่โคลงศีรษะแล้วเร่งฝีเท้าตามไป


"ข้าจะไปรู้ได้ยังไง ข้าก็ไม่เห็นเหมือนกัน"

เสียงโวยวายขององครักษ์คนหนึ่งต้อนรับทั้งสองเมื่อเปิดประตูเข้าไป ยังผลให้คนโวยกับองครักษ์อีกคนหนึ่งค้อมคำนับผู้เข้ามาที่อายุน้อยที่สุดทันที

"...ท่านหญิงโมโน ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะขอรับ" องครักษ์อีกคนถามขึ้น

"ยาฮีมไม่สบาย ข้าเลยมาส่ง"

องครักษ์ทั้งสองหันไปมองคนถูกบอกว่า 'ไม่สบาย' เหมือนจะใช้สายตาสำรวจหาอาการ และแน่นอนว่าไม่มีใครหาเจอ

"คือ...ข้ามีไข้นิดหน่อยน่ะขอรับ ท่านหญิงโมโนเลยบอกว่าให้พักดีกว่า"

วันพรุ่งนี้เขาต้องสารภาพบาปกับพระเถระกี่กรณีในข้อมุสากันนะ...เด็กหนุ่มกังวลเมื่อรู้สึกว่าตนเริ่มนับไม่ถูกเสียแล้ว

"อ๋อ" องครักษ์คนหนึ่งตอบรับเรียบๆ "ถ้าอย่างนั้นท่านหญิงวางใจได้ขอรับ เดี๋ยวพวกเราดูแล--"

"หนังสือของข้า!" องครักษ์อีกคนกลับร้องขึ้น "หนังสือของข้า...มาอยู่กับท่านหญิงได้ยังไงขอรับ!!"

ยาฮีมลอบปรายตามองคนร้องโดยไม่พูดอะไร

...เจอตัวการจนได...

"เอ๋ หนังสือของลาคานเหรอ ข้าว่าข้าเอามาจากห้องหนังสือนะ"

"เป็นไปไม่ได้ขอรับ ข้าจำได้ว่าข้าเก็บไว้ในห้องข้าที่ข้างบนนี่ มันจะไปอยู่ในห้องหนังสือของอารามได้ยังไง"

"แต่ข้า..." โมโนก้มมองปกหนังสืออย่างงงๆ "ข้าเจอมันอยู่ในกองหนังสือที่ข้าหยิบจากห้องหนังสือมาอ่านในห้องตัวเอง มันก็น่าจะมาจากห้องหนังสือสิ"

"หนังสือข้าจริงๆ นะขอรับ ตรงท้ายๆ เล่ม ข้าจำได้ว่าเอา...เอ่อ...ผ้าเล็กๆ สอดไว้"

เด็กหญิงลองพลิกดู ก่อนจะพบหลักฐานเป็นผ้าเนื้อบางสีชมพูอ่อน ผืนแคบแต่ยาวเหมือนผ้าผูกผมของผู้หญิง

"มีจริงๆ ด้วย"

"ข้าขอคืนเถอะขอรับ"

"แต่ข้ายังอ่านไม่จบเลย ขอยืมอ่านให้จบก่อนไม่ได้เหรอ" โมโนเริ่มถาม และใส่ลูกอ้อน "นะ...นะ"

"ให้เจ้าของอ่านจบก่อนเถอะขอรับ" ยาฮีมตัดสินใจช่วยพูด "พระเถระบอกว่าเราควรเกรงใจคนอื่น โดยเฉพาะเขาเป็นเจ้าของหนังสือด้วย จริงไหมขอรับ"

เด็กหญิงนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าแล้วยื่นให้องครักษ์ที่อ้างตนว่าเป็นเจ้าของ ซึ่งมีสีหน้าตื้นตันเป็นที่สุด

"ขอบคุณมากขอรับ"

"แต่จบแล้วต้องให้ข้ายืมอ่านนะ" โมโนยังไม่เลิกยืนกราน ทว่าการที่เด็กหนุ่มแกล้งไอขึ้นมาทำให้เธอหันความสนใจมาที่เขาทันควัน "อ้าว ยาฮีม ยังไม่รีบขึ้นไปพักอีก ดูสิไม่สบายใหญ่แล้ว"

"ขอรับ จะไปเดี๋ยวนี้แหละขอรับ" เด็กหนุ่มรีบตอบพร้อมกับทำท่าจะเดินขึ้นบันได 

"พักผ่อนให้มากๆ ล่ะ"

แต่พอสิ้นเสียงกำชับครั้งสุดท้ายและเสียงประตู เขาก็หันกลับมาทางองครักษ์ประจำอารามอีกสองคน ซึ่งหันมาไล่เบี้ยกันเองแทน

"เดี๋ยวนี้เจ้ากล้าถึงขนาดเอาหนังสือแบบนี้ไปซ่อนในห้องหนังสือของอารามแล้วเหรอ"

"จะบ้ารึไง! ห้องหนังสือข้ายังไม่ค่อยได้เข้า จะเอาไปใส่ในนั้นทำไมเล่า" อีกคนรีบแก้ตัว

"แล้วมันไปอยู่กับท่านหญิงโมโนได้ยังไง"

"จะยังไงข้าก็ไม่รู้ล่ะ"

"ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันขอรับ" พอเด็กหนุ่มซึ่งอายุน้อยที่สุดพูด สายตาของทั้งสองก็มาหยุดที่เขาเป็นตาเดียว "ข้ารู้แค่ว่า...ถ้าท่านคารัฟหรือพระเถระทราบเข้า ท่านทั้งสองต้องไม่พอใจแน่ขอรับ ที่มีองครักษ์เอาหนังสือทางโลกเข้ามาในเขตอาราม"

"...ข้ารู้แล้ว อ่านจบแล้วข้าจะรีบคืนเจ้าของเดี๋ยวนี้แหละ คือมันก็ไม่ใช่หนังสือของข้าเองหรอก แต่ข้ายืมเพื่อนในหมู่บ้านมาอีกที"

ยาฮีมเพียงมองคนอายุมากกว่าตัวแค่สองปีด้วยสายตาเรียบๆ ก่อนจะผละขึ้นบันไดไปจริงๆ พร้อมกับพูดทิ้งท้าย

"หวังว่า 'เพื่อนในหมู่บ้าน' ที่เป็นเจ้าของหนังสือกับผ้าข้างในนั้นคงไม่ได้ชื่อเอเลนะขอรับ"

เสียงพูดขององครักษ์รุ่นใหญ่กว่าอีกสองคนไล่หลังมา

"เจ้า้เด็กนั่นรู้ได้ไง..."

"เห็นไหม ข้าบอกแล้วว่าทำอะไรหัดระวังหน่อย อยากโดนไล่ออกจากอาราม แล้วโดนญาติของผู้หญิงไล่ฟันหัวเอารึไง ได้ยินว่าพ่อนางดุใช้ได้เลยไม่ใช่เหรอ"

"เออ...ดุใช้ได้น่ะสิถึงได้ต้องแอบคบแบบนี้"

...แอบคบแต่อย่าแอบทำอะไรมากกว่านั้นก็แล้วกัน...

ยาฮีมนึกในใจ อาการปวดตุบๆ ยิ่งทวีในสมองเมื่อได้ยินว่าคำยืนยันว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาจริงๆ

แต่อย่าเพิ่งคิดอะไรเลย ขอไปนอนพักก่อนดีกว่า วันนี้แค่รับมือกับสารพัดคำถามของโมโนเขาก็เหนื่อยแทบแย่ จนพาลจะเป็นไข้ขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว

***

หลังยาฮีมเดินพ้นมุมเพดานขึ้นไปข้างบน องครักษ์ผู้กอดหนังสือไว้แน่นก็ถอนใจเฮือกใหญ่

"หาเจอแล้วก็รีบๆ เอาไปคืนซะ" องครักษ์อีกคนเอ็ด อย่างที่เจ้าเด็กนั่นพูดน่ะแหละ ถ้ารู้ไปถึงหูพระเถระหรือท่านคารัฟก็แย่แน่"

"ข้ารู้น่า ขอโทษๆ" ลาคานพูดพลางก้มลงมองสิ่งของในอ้อมแขน ถอนใจอีกครั้งแล้วพึมพำขึ้นเบาๆ

"เฮ้อ ตอนนี้ก็ได้คืนมาเล่มหนึ่งล่ะ"

เพื่อนองครักษ์ที่กำลังจะเดินผละไปชะงักกึก หันกลับมาขมวดคิ้ว

"นี่ไม่ได้มีแค่เล่มเดียวหรอกหรือนี่"

คนถูกถามยิ้มเจื่อนก่อนจะตอบอ่อยๆ

"...ข้ายืมมาสองเล่ม"


มีเสียงเอะอะตึงตังดังลอยมาอีกครั้งจากด้านล่าง ("รีบๆ ไปหากันเร็วเข้าเลย เจ้าบ้า" หรืออะไรนี่แหละ) ตามมาด้วยเสียงปิดประตูอย่างรีบเร่ง แต่เขาไม่สนใจ พอกลับเข้าถึงห้องยาฮีมก็ล้มตัวลงนอนในทันที รู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากกว่าปรกติหลายเท่าตัวทีเดียว ทั้งที่วันนี้ก็ไม่ได้ทำงานหนักอะไรเลย

ทว่าจะอย่างไร ความนุ่มสบายของหมอนหนุนที่เขาคว่ำหน้าลงไปซุกกับความคิดที่ว่าจบลงได้เสียทีในที่สุดก็ช่วยปลอบใจให้โล่งอกอยู่บ้าง เรื่องที่ต้องคอยตรวจตราระมัดระวังไม่ให้โมโนพบเจอหนังสือแบบนี้อีกไว้ค่อยเรียนท่านเอมอนทีหลังแล้วกัน

...เด็กหนุ่มหารู้ไม่ วิบากกรรมของเขายังไม่สิ้นลง อย่างน้อยก็ในวันนั้น

ราวกับฟ้าสาปแช่ง เพียงเสี้ยววินาทีที่หลับตาลง เสียงเคาะประตูเบาๆ และเสียงเปิดแอดแผ่วๆ ก็แว่วมา

ยาฮีมที่นึกฉงนว่าใครกันผงกศีรษะขึ้นจากหมอนเพียงเพื่อจะได้เห็นรอยยิ้มที่ทำให้เขาต้องผวาและก่นด่าตัวเองว่าทำไมถึงไม่ลงกลอนประตูให้เรียบร้อยแล้วค่อยล้มตัวลงบนเตียง

"อ๊ะ ไม่เป็นไร ยาฮีมไม่ต้องลุกขึ้นมาหรอก นอนพักไปเถอะนะ"

โมโนส่ายมือหยอยๆ เดินยิ้มกว้างเข้ามา ในใจยาฮีมร้องคร่ำครวญ เป็นไรสิ เป็นมากด้วย

"ท่านหญิง...มีธุระอะไรรึขอรับ"

เด็กหนุ่มถามอย่างแหบโหยโรยแรง นิ้วมือข้างที่เขาใช้ตัวนอนทับอยู่ไขว้กันเป็นก้อนกลม ที่จริงอยากท้วงว่า "ท่านหญิงไม่ควรเข้ามาในห้องของเขา" แต่เกิดเธอถามกลับมาว่า "ทำไมถึงไม่ควรล่ะ" ก็รังแต่จะวนกลับเข้าสู่วงจรอุบาทว์ของคำถามลำบากตอบเปล่าๆ

"ข้าอดเป็นห่วงไม่ได้ก็เลยคิดว่าจะมาเฝ้าไข้ยาฮีมดีกว่า" เจ้าหล่อนตอบตาใสแล้วปีนขึ้นบนเตียงมานั่งปุข้างๆ เขาหน้าตาเฉย ยังผลให้เด็กหนุ่มลุกพรวดขึ้นนั่งโดยพลัน

"ข้าก็มาคิดๆ ดูแล้ว ให้เหงื่อมันออกบ้างน่าจะหายเร็วขึ้น ไปทำงานอย่างอื่นต่อดีกว่า"

"ไม่ได้นะ ป่วยแล้วต้องนอนพักสิ" เด็กหญิงแย้งด้วยน้ำเสียงเลียนแบบเมยา ผลักไหล่เขาให้เอนลงตามเดิม

"ข้าไม่อยากรบกวนเวลาท่านหญิง"

"เปล่ารบกวนซะหน่อย ยาฮีมไม่ต้องเกรงใจข้านะ ข้าเต็มใจจะมาเฝ้าไข้ให้ยาฮีม"

โมโนตอบด้วยรอยยิ้มเปี่ยมน้ำใจ คน (ถูกเข้าใจว่า) ป่วยซาบซึ้งจนแทบน้ำตาไหลพราก ยังคงกัดฟันตอบ

"บางที...ถ้าออกไปเดินเล่นสูดอากาศรอบๆ อาจจะทำให้สดชื่นขึ้นบ้างก็ได้"

เสียงฟ้าร้องครืนครันกระหึ่มขึ้นตัดจังหวะ เสียงฟ้าผ่าไล่กระชั้นมาติดๆ เมื่อยาฮีมเอื้อมมือไปแง้มหน้าต่างที่หัวเตียงออกดูก็เห็นม่านฝนคลี่คลุมลงมาหนาตา

"อะไรวะ" เด็กหนุ่มสบถในคอ เมื่อกี้ยังแดดจ้าอยู่เลย

ไม่มีทางเลือก ยาฮีมตัดสินใจงัดไม้สุดท้ายมาใช้ดื้อๆ

"ปรกติตอนนี้ไม่ใช่เวลานอนของข้า ข้านอนไม่หลับเลยขอรับ ดีล่ะ อยู่เฉยๆ ท่านหญิงอาจจะเบื่อ อย่างนั้นเรามานั่งคุยกันก็ได้" เขาพูดเองเออเองเสร็จสรรพไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายปฏิเสธ

"เอ๋ จะดีเหรอ ข้าเองเวลาปวดหัวยังต้องนอน" โมโนยังย้ำคำเดิม

"ดีสิขอรับ" ยาฮีมรีบตัดบทด้วยการลุกจากเตียงลงมานั่งที่พื้น พยายามปั้นสีหน้าให้ยิ้มแย้มยกอ้างเหตุผลข้างๆ คูๆ "อย่ากังวลเลยขอรับ กับแค่ไข้เล็กๆ น้อยๆ น่ะข้าชินแล้ว อีกอย่างข้าโตกว่าท่านหญิง ก็ย่อมจะต้องมีร่างกายที่แข็งแรง...กว่า"

คำพูดของเขาขาดหายกลางคัน สองตาเบิกค้างเมื่อสังเกตเห็นว่าเด็กหญิงไม่ได้มามือเปล่า

"นั่น...ท่านถืออะไรมาขอรับ"

"อ๋อ ข้าตั้งใจว่าจะเอามาอ่านฆ่าเวลาระหว่างที่เฝ้าไข้น่ะ" โมโนจับหนังสือเล่มหนาขึ้นตั้งบนตัก "จริงด้วย ในเมื่อยาฮีมยังไม่อยากนอน งั้นมาอ่านเรื่องของเจ้าชายกับเจ้าหญิงกันเถอะ ข้าเปิดดูแล้วก็งงๆ ว่าจะถามพอดี"

เจ้าชายกับเจ้าหญิงอีกแล้ว!? ยาฮีมนึกหวาดหวั่นขึ้นครามครัน เหลือบสายตาชำเลืองมองที่ปก ตัวหนังสือจั่วหัวเดียวกันกับเล่มเจ้าปัญหาที่เพิ่งคืนเจ้าของไปไม่มีผิด ต่างตรงที่เล่มนี้มีคำต่อท้ายว่า "ภาค 2 ศึกสวรรค์ชั้นเจ็ด"

ยังมีคำบรรยายสรรพคุณตรงด้านล่างหน้าปก...ที่เขาอยากให้ตัวเองมองผิดเหลือเกิน...ว่า "ดุเดือดกว่าภาคแรก!!" และ "พิเศษ!! ภาพประกอบสี่สีในเล่ม"

สีหน้าของเด็กหนุ่มซีดเผือดราวกับเห็นนรกภูมิ

ท่านหญิงของเขาเปิดฉากพลิกหน้ากระดาษไม่รีรอพร้อมกับชี้ชวนให้ดู ท่าทางจะลืมไปแล้วเรียบร้อยเรื่องที่ (เข้าใจไปเองว่า) เขาไม่สบาย คำถามที่ตามมาระดมเร็วรัวยิ่งกว่าหนแรก

"นี่ไงๆ เขาทำอะไรกันก็ไม่รู้ ภาพด้านหลังเป็นพายุ ฟ้าผ่า ฝนตก แต่ทำไมพวกเขาไม่ใส่เสื้อผ้าล่ะ แถมไปนอนทับกันแบบนั้นเพื่ออะไรไม่อึดอัดเหรอ แล้วทำไมต้องทำท่าพิลึกพิลั่นยกแขนยกขาก่ายกันแบบนั้นด้วย ...ยังไง...เพราะอะไร...แล้วยังนั่นอีก...นี่ด้วย..."


...วันนั้น เสียงโหยหวนหนึ่งดังกึกก้องจากอารามอันเป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ แผดผสานกับฟ้าคำรณ แว่วสะท้อนอึงอลทั่วหมู่บ้านให้ผู้คนที่ได้ยินและหวาดกลัวพากันร่ำลือในภายหลังว่าเป็นเสียงของภูตผีที่ตายไปอย่างคั่งแค้นริกำเริบเสิบสานแผลงฤทธิ์ขู่ขวัญคนเป็นยามกลางวันแสกๆ

เสียงโหยหวนของมันแสดงถึงความทรมานสาหัส ดังซ้ำไปซ้ำมาพอจับใจความได้ว่า

"ช่วยด้วยยยย......"


Note: ตอนนี้ผมอยากตั้งชื่อเรื่องรองให้ว่า "วันโชคร้ายของนายเบาจืด" จริงๆ ^^;;;

เห็นที่จะเป็นไซด์ที่แปลกกว่าตอนไหนๆ เพราะผมเล่นตั้งเป็นนามวลีใส่เครื่องหมายคำถาม แทนที่จะเป็นคำเดียวสั้นๆ แต่มีความหมายเหมือนเมื่อก่อน คงเป็นเพราะผมหาคำคำเดียวที่เข้ากันไม่ได้ นึกได้ใกล้เคียงที่สุดก็คาแรกเตอร์ของโมโนที่น่าจะเป็นเด็กๆ แนว Childish หรือ Innocence แต่ผมว่า "ดอกไม้กลางทะเลพายุ...?" เห็นจะเข้าที่สุด จึงได้เลือกใช้แทนครับ ^^;;;

มูลเหตุของเรื่องนี้เริ่มที่คุณ Runaway Guy เกริ่นว่านึกเรื่องขำๆ ได้ประมาณโมโนหอบหนังสือที่มีบทดอกไม้กลางทะเลพายุมาขอให้ยาฮีมพาไปดูด้วยความเป็นเด็ก และไปๆ มาๆ ความบ้าของผมก็ทำให้มันกลายเป็นซีรี่ส์คำถามชวนเบาจืดไข้ขึ้นจนถึงที่สุดนี่ล่ะครับ

เอเล สาวน้อยลูกพี่ลูกน้องของยาฮีมนั้นไม่มีในต้นเรื่องเดิม แต่ไอเดียของผมเกิดนึกไปถึงที่คุณ Blue Mouse ถามว่าจะมีบทอีกมั้ย เลยพามารับเชิญเล่น (แต่ชื่อ) ตอกย้ำใจของยาฮีมให้เผยแววมืดมนออกมาในตอนท้ายๆ เรื่องแทน

หรือไปๆ มาๆ ต่อมาอาจมีไซด์ของยาฮีมคนเดียว ประมาณว่าหาโอกาสไปพูดเตือนเอเลในฐานะลูกพี่ลูกน้อง ด้วยความเป็นห่วงว่าจะเกิดเรื่องอย่างดินาห์ขึ้นมากันนะ ^^;;;

อืม...ไหนๆ ก็ไหนๆ ถึงจะเป็นไซด์เรื่องขำๆ ผมก็เห็นจะต้องขออนุญาตออกความเห็นซีเรียสอีกสักนิดหนึ่งด้วยครับ ว่าผมมองความรักหนุ่มสาวเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ไม่สนับสนุนให้ทำอะไรเกินวัยหรือความถูกต้องเหมาะสม ในสังคมเรื่องของผมอิงจากสังคมชนบทบางส่วน ซึ่งหนุ่มสาวที่รักกันอาจแอบพบปะพูดคุยกัน แต่พวกเขาก็นับว่าอยู่ในวัยทำงานตั้งแต่อายุแค่สิบกว่าแล้ว และการตกลงแต่งงานกันระหว่างสองครอบครัวในชุมชนก็น่าจะลงตัวกันได้ง่าย ไม่เหมือนสมัยปัจจุบันของพวกเรา

ที่ผมใส่เรื่องของเอเลเข้ามา ก็เพื่อให้ยาฮีมตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลง ว่าวัยของเขากับเอเลนั้นไม่นับเป็นเด็ก (ในสังคมในเรื่อง) แต่แผลในใจของยาฮีมยังคงทำให้เขาไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงอยู่นั่นเอง