Wander and Mono's Side
Story
Reconciliation
โมโนไม่รู้ว่าตนเองร้องไห้อยู่นานเท่าใด
นานไปก็เริ่มไม่เข้าใจเสียแล้วด้วยว่าตนร้องไห้เพราะอะไร
ในทีแรกเธอคิดจะไปเก็บเสื้อผ้าข้าวของ
(ซึ่งจะว่าไปแล้ว
ก็มีเพียงชุดกระโปรงสีขาวกับถุงยาใบเก่าเท่านั้นที่ติดตัวมาจากอาราม
ส่วนเสื้อผ้าและสิ่งของอื่นๆ นั้นคนจรซื้อหามาหรือทำให้ทั้งสิ้น)
ออกไปสารภาพความจริงเรื่องโลหิตดำและตัวเธออีกคนหนึ่งกับเด็กหนุ่ม
หากจำเป็นก็กรีดเลือดพิสูจน์
และบังคับให้เขาพาเธอเดินทางกลับอารามตั้งแต่เช้าวันรุ่งขึ้น
แต่แล้วความกลัวก็เข้ามาในใจ
ว่าหากทำเช่นนั้น...เขาก็คงถูกลงโทษตามธรรมเนียมที่มีมา พระเถระเอมอนอาจเมตตาก็จริง
ทว่าเธอกับเขาละเมิดกฎขั้นอุกฤษฏ์ที่สุดแล้ว ท่านจะยอมละเว้นโทษให้กับคนจรหรือ
หรือเธอจะหนีไปเอง
ทิ้งจดหมายอธิบายไว้แล้วลอบออกจากบ้านไปเสียแต่เช้ามืด
ลองเอาเงินที่ทำงานได้มาไปจ้างเกวียนจากหมู่บ้านอื่นให้ส่งเธอที่ชายแดน
จากนั้นก็ไปอธิบายกับทหารที่ด่านผ่านแดนว่าเธอเป็นคนของอาราม
หากมีคำสั่งให้สกัดจับเธอส่งมาที่ด่านแล้ว
พวกเขาคงเข้าใจได้ไม่ยากและส่งตัวเธอกลับ
ทว่าวิธีนี้ยังเสี่ยงเกินไป
ซ้ำใจส่วนลึกของเธอยังบอกว่านั่น 'ไม่มีวันใช่สิ่งที่เธอต้องการ' เด็ดขาด
บ้าที่สุด!
เขาทำกับข้าถึงขนาดนี้แล้ว...ข้ายังจะอยู่กับเขาต่อไปอีกหรือ
เธอเคยเชื่อใจเขา...อย่างน้อยก็เชื่อว่าเขาไม่ใช่คนที่จะหักหลังเธออย่างนี้
เรื่องในคืนที่เกิดจันทรคราส เธอพอเข้าใจได้ว่าเขาไม่รู้ว่ามีตัวเธออีกคนหนึ่งอยู่
แต่ทำไม...
ทำไมถึงอ้ำอึ้งตอนที่เธอถามถึงค่าจ้างที่เซราให้มา
ถ้าตอบไม่ได้แสดงว่ามีพิรุธใช่ไหม
แล้วในทีแรกทำไมถึงดีกับเธอถึงขนาดนั้น
ทำไมถึงอ่อนโยนกับเธอแบบนั้น ทั้งหมดนี้แค่เพื่อให้ได้ตัวเธอมาเท่านั้นหรือ
ไม่ใช่
พี่คนจรไม่ใช่คนแบบนั้น...ไม่มีวันเป็นคนแบบนั้นไปได้เด็ดขาด
แล้วทำไม...
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นแวบหนึ่ง
หางตาเหลือบเห็นย่ามที่เขาวางไว้แถวขอบโต๊ะ
โมโนเลยลุกขึ้นยืน
ตรงไปหยิบย่ามนั้นขึ้นมาดูของภายใน
มีถุงใส่เงิน...ข้างในมีเงินจำนวนเท่ากับค่าจ้างเก็บเกี่ยวเมื่อเช้าที่เขาเปรยๆ
ไว้
แสดงว่าเขาไม่ได้เงินค่าจ้างจากเซราจริงๆ
แต่ในย่ามยังมีของอย่างอื่นอีกชิ้น
เป็นผ้าพับหนึ่ง พอคลี่ออกมาก็พบว่าผืนยาวเหมือนผ้าคลุมไหล่ผู้หญิง
มีชายผ้าสองด้านเป็นแถบพู่ เนื้อผ้านุ่ม ย้อมสีเขียวเข้มสวย
ตามชายผ้าปักลายดอกไม้เล็กๆ สีขาว
แค่พบกันครั้งเดียว...ก็ให้ของมาเผื่อคิดถึงกันแล้วหรือ
ไม่ใช่สิ
ผ้าผืนนี้ดูใหม่เหมือนเพิ่งทำเสร็จไม่นาน ไม่น่าจะมีใครใช้มาก่อนด้วยซ้ำ
เด็กสาวเบิกตากว้างเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้...ว่าผ้าผืนนั้นมาอยู่กับเขาได้อย่างไร
"กลับบ้านเย็นอย่างนี้
ภรรยาไม่ว่าอะไรหรือ"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ
ข้าบอกโมโนไว้แล้ว"
โมโนไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล...นางต้องเข้าใจแน่ๆ
คนจรระบายลมหายใจยาวขณะนั่งพิงผนังนอกคอกของอะโกร เขารับรองกับเซราหนักแน่นขนาดนั้น
แต่พอกลับบ้านมาก็เป็นเสียอย่างนี้
เขาโกรธ
ยอมรับว่าโกรธเด็กสาวมากที่เธอพูดเหมือนไม่ไว้ใจเขาเลย ใจหนึ่งอยากตวาดกลับ
อยากทำอะไรก็ได้ให้เธอเงียบ แม้กระทั่งจะคว้าเชือกมามัดไว้ตามที่เธอท้า
แต่พอเห็นแววตาของโมโนตอนที่เขากดเธอลงบนเก้าอี้
เด็กหนุ่มกลับนึกถึงสายตาที่เธอมองเขาแวบหนึ่งใน...คืนบ้าๆ นั่น
คืนที่เขาไม่อยากจำด้วยซ้ำเมื่อพลอยนึกถึงภาพของโมโนที่นั่งร้องไห้ในตอนเช้าขึ้นมาด้วย
ถ้าต้องทำให้เด็กสาวเจ็บปวดและเสียใจ...ความสุขส่วนตัวหรือความสาสมใจใดๆ
ที่อาจได้รับก็ช่างต่ำช้าน่ารังเกียจที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เขาหลงเชื่อเรื่องหลอกลวงของยาฮีมจนทิ้งสร้อยเปลือกหอยต่อหน้าเธอ
หรือสิ่งที่เขาทำกับเธอในคืนนั้น
แล้วพอนึกอย่างนั้น
เขาก็ไม่อยากเป็นต้นเหตุของสีหน้าแบบนั้นอีก ถึงได้พยายามข่มอารมณ์
และถอยออกมาข้างนอกแทน
ปล่อยไว้สักพัก
เด็กสาวคงสงบสติอารมณ์ได้ คนจรภาวนาให้เป็นอย่างนั้น และเป็นโดยเร็วด้วย
เสียงร้องของอะโกรเรียกเขาให้เงยหน้าขึ้นมอง รับจมูกอุ่นๆ ที่ก้มลงสูดฟุดฟิดข้างศีรษะ
"อะโกร ไม่แน่คืนนี้ข้าคงต้องขอแย่งที่นอนเจ้าอีกแล้วล่ะ"
คนจรพูดปลงๆ "เหมือนตอนนั้นเลยเนอะ"
ตอนที่เขาทะเลาะกับพ่อเรื่องแอบไปล่าสัตว์ตัวคนเดียวตอนอายุสิบสี่
จนหลบจากกระโจมไปนั่งๆ นอนๆ กับม้าเพื่อนยากทั้งคืน
"ถ้านายหญิงเจ้าไม่ยอมอารมณ์เย็นลงล่ะนะ..."
พอเขาพูดจบก็มีเสียงเคาะที่ประตูคอก
จากนั้นเงาร่างบอบบางที่ถือตะเกียงก็ปรากฏอยู่หน้าประตู...พร้อมกับผ้าผืนยาวในมืออีกข้างหนึ่ง
เด็กหนุ่มนิ่งเงียบ
ผู้มาใหม่จึงถามขึ้นก่อนด้วยเสียงที่ยังไม่หายสั่น
"ผ้านี่...มาจากไหนเหรอคะ"
"เซราให้มาแทนค่าจ้าง"
คนจรตอบเรียบๆ "ข้าบอกนางว่าไม่ต้องการเงิน แต่อยากได้ผ้าคลุมไหล่สวยๆ
ให้เจ้าสักผืน"
"แล้วทำไมไม่บอกข้าก่อนล่ะคะ"
"ก็..."
เด็กหนุ่มลังเล แต่นึกได้ว่าถึงขั้นนี้คงต้องพูดเสียแล้ว
"ข้าอยากให้เจ้าเป็นของขวัญวันเกิด เลยกะว่าจะปิดไว้ให้ประหลาดใจ"
โมโนยืนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
ก่อนจะปล่อยโฮออกมาพร้อมคำพูด
"ขอโทษค่ะ!
ข้าขอโทษ!!"
"ไม่เอาน่า"
คนจรลุกขึ้นยืน ก้าวเข้าไปโอบร่างที่กำลังสั่นเทิ้มไว้หลวมๆ
"ข้าก็ไม่ได้โมโหอะไรนักหรอก นิ่งเถอะนะ
ข้าเองก็ต้องขอโทษเหมือนกันนั่นล่ะ"
เสียงคล้ายเสียงครางของอะโกรดังขึ้น (แต่เด็กสาวบอกได้ว่าไม่ใช่
เพราะดังใกล้กว่ากันมาก) ทำให้เขาคลายอ้อมกอด
เลื่อนมือไปเกาหลังศีรษะพร้อมกับยิ้มแห้งๆ
"ข...ขอโทษนะ
ข้า..."
โมโนฝืนยิ้มเฝื่อนๆ
ก่อนจะจับมือเขาไว้
"หิวสินะคะ
ข้าเทซุปกลับไปตั้งไฟไว้ คงจะร้อนได้ที่แล้วล่ะ"
เธอทำท่าจะจูงเขาไป
ทว่า...
"โมโน"
"คะ"
"มีเรื่องอื่นที่...ข้าทำให้เจ้าไม่พอใจหรือเปล่า"
"เรื่องอื่น"
"นอกจากที่วันนี้ข้ากลับมาช้าน่ะ"
เด็กสาวชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูด
"ก็...ไม่เชิงหรอกค่ะ
แต่พอทานข้าวเสร็จแล้ว ข้ามีเรื่องจะบอกท่านค่ะ"
บางทีนี่คงเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้ว...ที่จะสารภาพความจริงและบอกลากัน
"ข้าก็มีเรื่องจะบอกเจ้าเหมือนกัน"
โมโนอดประหลาดใจไม่ได้กับคำพูดของเขา "ถือเสียว่าแลกกันนะ"
"...ค่ะ"
อาหารเย็นที่เลยเวลาไปโขผ่านไปอย่างเงียบๆ
หลังจากนั้นแทนที่เขาจะรีบพูด กลับถามหาแป้ง จัดแจงผสมน้ำนวดเป็นสองก้อน
แผ่ให้แบนแล้วนำมาปิ้งที่เตาผิงแทน
สักพักพอแป้งสุก
เขาก็นำกระปุกไม้เล็กๆ ที่เธอจำไม่ได้ว่าเคยเห็นมาก่อนมาเปิด
แล้วป้ายของภายในที่ดูเหมือนแยมหรือผลไม้กวนสีออกแดงเข้มลงบนแป้งก่อนจะม้วนส่งให้เธอ
โมโนรับไปกัดคำหนึ่ง
ก่อนจะอุทานออกมาเบาๆ
"เป็นยังไง"
"อร่อยนะคะ...หวานมากเลย"
"ดีใจที่เจ้าชอบนะ"
คนจรรับยิ้มๆ ก่อนจะกัดแป้งม้วนที่ทาเสร็จอีกแผ่น "ข้าไม่ค่อยได้เอามันมากินเองเท่าไร...ส่วนมากจะเก็บไว้กินในคืนที่คิดถึงบ้านขึ้นมาน่ะ"
"มันคืออะไรเหรอคะ"
"ผลไม้แถบทุ่งหญ้าน่ะ ชาวอัสลานเรียกกันว่า
เบอร์รี่ไฟ"
"เบอร์รี่ไฟ...รสหวานออกทำไมชื่อดุจัง"
เด็กหนุ่มหัวเราะน้อยๆ
"พวกหิ่งห้อยชอบตอมผลไม้นี้
ตอนค่ำๆ หน้าร้อนจะเห็นพวกมันพราวเต็มพุ่มเบอร์รี่ไฟเลย
เสียดายที่ตอนนี้ไม่ใช่หน้าหิ่งห้อย ไม่งั้นข้าจะลองเรียกหิ่งห้อยมาให้เจ้าดูที่สวนหลังบ้านนี่ล่ะ"
"แย่จัง"
เด็กสาวเปรยอย่างเสียดาย
เมื่อนึกว่าโอกาสที่เธอจะได้อยู่กับเขาถึงฤดูร้อนหน้าจะมีน้อยแค่ไหนกัน
"นอกจากกินอร่อยแล้วยังใช้ประโยชน์ได้ด้วยนะ"
คนจรเริ่มอธิบาย "ถ้าจำเป็นต้องตามรอยสัตว์ตอนกลางคืน
พวกพรานจะชอบใช้ผลไม้นี้ทาคมอาวุธหรือหัวลูกศรไว้ เวลาฟันหรือยิงถูกเป้าหมาย
หิ่งห้อยจะได้ตอมแผลบอกทางให้"
"อย่างนี้นี่เอง"
"ข้าชอบผลไม้นี้มากนะ"
อีกฝ่ายยังเล่าไปเรื่อยๆ "ตอนเด็กๆ
พี่เซลุยเคยพาข้าแอบหลบออกจากกระโจมตอนดึกไปเก็บมากินจากพุ่ม เวลากินสดๆ
จะอร่อยยิ่งกว่านี้อีก เพราะเบอร์รี่ไฟน่ะฉ่ำน้ำมาก
แต่ถ้าปู่กับย่าจับได้ เราสองคนจะโดนหวดเสียขาลายเลย"
โมโนอดหัวเราะคิกไม่ได้
"ตอนเด็กท่าทางท่านจะซนน่าดูนะคะ"
"พวกเขาแทบอยากเรียกข้าว่า
'ลิง' มากกว่าชื่อจริงข้าตอนเด็กด้วยซ้ำ" เด็กหนุ่มเปรย
ก่อนจะหันมาสบตากับเธอ "แล้วเจ้าล่ะ โดนตีบ่อยไหม"
"ข้าน่ะเหรอคะ" เด็กสาวก้มหน้าลงมองแป้งในมือ
"คนที่อารามเขาไม่ตีข้าหรอกค่ะ...คือ...ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยดื้อหรือทำอะไรผิดนะคะ
แต่พวกเขาจะลงโทษกักบริเวณข้าในห้อง ให้สวดมนต์ คัดอักษร
หรือไม่ก็ห้ามอ่านหนังสืออ่านเล่นมากกว่า"
"เพราะเป็นผู้ถูกเลือกน่ะเหรอ"
"...ค่ะ"
โมโนยิ้มเศร้าๆ ก่อนจะพูดตามความคิดแวบขึ้นมา "มีครั้งหนึ่งน่ะค่ะ..."
"หือ"
"มีตลาดนัดที่หมู่บ้าน
ข้าขอให้ท่านปู่โยเรพาไปดู ที่นั่นมีร้านขายตุ๊กตาน้ำตาลด้วย...ตุ๊กตาปั้นจากน้ำตาลย้อมสีสวยๆ
น่ะค่ะ พ่อค้าทำปักไว้เป็นไม้ๆ มีทั้งรูปนก ดอกไม้
กระทั่งคุณลุงนั่งตกปลายังมี"
"อ้อ...ข้าเคยเห็นที่ตลาดบางหมู่บ้านเหมือนกัน
แต่ไม่เคยกินหรอก"
"ข้าก็ไม่เคยกินค่ะ"
เด็กสาวเล่าด้วยเสียงเลื่อนลอย "แต่ตอนนั้น ข้ารบเร้าท่านปู่ให้ซื้อให้
แล้วท่านปู่ก็เลยซื้อนกน้ำตาลให้ข้าตัวนึง
แต่มันสวยมากจนข้ากินไม่ลง ข้าเลยแอบเอามันกลับอาราม
แล้วก็ใส่ไว้ในลิ้นชักห้องตัวเอง..."
"ตายล่ะ..."
"ค่ะ...นกตัวนั้นละลายตายไปเลย
ตอนเมยามาทำความสะอาดห้องข้า...มดมันแทบขึ้นลิ้นชักแล้วล่ะ" โมโนยักไหล่ขื่นๆ
"ข้าเลยโดนกักบริเวณอยู่นาน จากนั้นท่านเอมอนก็ห้ามไม่ให้ท่านปู่โยเรซื้อขนมจากตลาดให้ข้าอีก"
"ไม่เกินไปหน่อยหรือ"
"อันที่จริง...ข้ากินของหวานมากไม่ได้หรอกค่ะ
มันไม่ดี..."
"ทำไมถึงไม่ดีล่ะ"
"เพราะ...เพราะ..."
โมโนเพิ่งนึกได้ว่าเธอไม่ควรบอกเขา
ว่าการยึดติดกับความสุขทางโลกรวมทั้งรสสัมผัสมากก็ไม่ดีนักสำหรับผู้ถูกเลือก
"เพราะ...กินมากแล้วจะอ้วนน่ะสิคะ"
"อยู่กับข้าแล้ว
อยากกินเท่าไรก็กินไปเถอะ" มือของคนพูดเลื่อนมาโอบรอบตัวพร้อมคำกระเซ้า
"เจ้าน่ะผอมจะปลิวอยู่แล้ว มีเนื้อเพิ่มกว่านี้อีกหน่อยจะได้กอดเต็มมือ"
"พ...พี่คนจรนี่!
พูดอะไรก็ไม่รู้!" เด็กสาวพยายามเบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอด
หน้าร้อนผ่าวขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว "ป...ปล่อยข้าเถอะค่ะ"
อีกฝ่ายคลายมือออก
แต่ยังไม่วายถาม
"ไม่อยากให้ข้ากอดเหรอ"
"ก...ก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากนะคะ
แต่ว่า..." โมโนเองก็อธิบายไม่ถูก
ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากอยู่ในอ้อมกอดของเขา
แต่บางครั้งเธอก็ยังรู้สึกกลัวเวลาถูกเขากอดแน่นๆ ตั้งแต่...
"เมื่อคืนนั้น...ข้าทำอะไรไม่ดีจริงๆ
สินะ" คนจรดักทางเรียบๆ "บอกมาเถอะ"
"เอ่อ..."
เด็กสาวเริ่มอ้ำอึ้ง
"เจ็บเหรอ"
"...ค่ะ"
โมโนตัดสินใจตอบตามจริงที่ตนรู้สึกในคืนนั้น หลังจากที่ตัวเธออีกคนหนึ่งจากไป
"แต่ก็...ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก"
"ข้าขอโทษจริงๆ
นะ"
"ไม่เป็นไรค่ะ
ข้าก็บอกแล้วนี่คะว่ามันจบไปแล้ว"
"แต่ดูท่าทางเจ้าบางที...เหมือนกับมันยังไม่จบ
ดูเจ้าทำท่าเหมือนไม่ค่อยอยากให้ข้าเข้าใกล้"
เด็กสาวถอนใจเบาๆ
แต่ไม่รู้ว่าจะตอบอะไร
"บอกตามตรง...คืนนั้นข้ารู้สึกมึนๆ
ยังไงก็ไม่รู้" คนจรพูด "จำได้บ้างไม่ได้บ้าง...นี่ไม่ใช่จะแก้ตัวนะ
เพราะเท่าที่จำได้ข้ายังรู้สึกเหมือนทำอะไรแย่ๆ ไปกับเจ้าตั้งมากมาย"
"คืนนั้น...ข้าก็ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองหรอกค่ะ"
โมโนจำใจกลืนแป้งปิ้งคำสุดท้ายแล้วนั่งกอดเข่า
นี่คงเป็นอย่างมากที่สุดที่จะบอกเขาได้ "อย่าใส่ใจเลย"
"เห็นทีเราจะเมาเห็ดทั้งคู่กระมัง"
"เมาเห็ด...เหรอคะ"
"ก็ตอนเย็น...ไม่สิ
วันนั้นเราไม่ได้กินมื้อเย็น ต้องเป็นกลางวันล่ะ สงสัยจะแยกเห็ดไม่ดี เห็ดเมาที่ทำให้เกิดอาการ...หลอนๆ
แบบนี้...ข้าได้ยินว่ามีเหมือนกัน"
เด็กสาวไม่คัดค้าน
ปล่อยให้เขายกความผิดให้เห็ดที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยไปเรียบร้อย
"แต่ข้าจะไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีกหรอก
สัญญาเลย ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเสียใจแบบนั้นอีก"
โมโนจ้องมองใบหน้าด้านข้างของเขา
เห็นแววตาหนักแน่นที่เน้นความหมายของคำสัญญานั้นเป็นอย่างดี
"ข้าก็เชื่อท่านค่ะ"
เธอก้มหน้าลงพูดแผ่วๆ "ข้าเชื่อท่านมาตลอด...แล้วก็จะเชื่อไปตลอดด้วย"
แต่ข้าอาจเป็นฝ่ายทำให้ท่านต้องเสียใจก็ได้...
เด็กสาวพยายามกลั้นน้ำตาที่ทำท่าจะรื้นออกมาอีก ก่อนจะตัดสินใจเอ่ย
"ว่าแต่...เรื่องที่ท่านบอกว่าจะพูดล่ะคะ"
"อ้อ"
คนจรทำท่าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้เช่นกัน "เจ้าก็มีเหมือนกันนี่นา"
"ให้ท่านพูดก่อนดีกว่าค่ะ"
โมโนฝืนยิ้ม
"ก็ได้..."
เด็กหนุ่มรับ สายตาทอดเลื่อนลอยไม่ได้มองเธอ "คือข้าจะบอกว่า ไม่ว่าเจ้าบอกว่าอยากไปที่ไหน...ข้าก็จะพาไปทุกที่..."
เด็กสาวลอบบีบมือของตน
นั่นหมายความว่าต่อให้เธอบอกให้เขาพากลับอาราม...ซึ่งเธอพูดไปแล้ว...เขาก็จะพาไปใช่ไหมนะ
...เป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว...
แต่แล้วคนจรก็แตะที่ข้างแก้มให้เธอหันมาสบตาด้วย
ก่อนจะพูดอย่างเคร่งขรึม
"แต่ขอร้องล่ะ...อย่าพูดว่าจะกลับไปที่อารามอีกเลยนะ"
โมโนเบิกตากว้างเมื่อเห็นแววตาของเขา
กระทั่งน้ำตาพาลจะไหลออกมาอีก
"ข้าอาจจะเป็นคนเห็นแก่ตัวกว่าที่คิดก็ได้"
เขาพูดต่อพร้อมกับปล่อยมือจากเธอ และเบือนหน้าไปอีกทาง
"แต่พอได้มาอยู่กับเจ้าแบบนี้แล้ว ข้าก็ไม่อยากเสียเจ้าไปจริงๆ
แค่ได้ยินเจ้าพูดว่าจะกลับไปที่อาราม ข้าก็ไม่รู้จะทำยังไงอีกแล้ว..."
เด็กสาวยกมือขึ้นปาดน้ำตา
แต่เด็กหนุ่มคงยังไม่สังเกตเห็นจึงได้พูดต่อไป
"ถ้าเจ้าไม่ชอบที่ข้าทำอะไรก็บอกมา
ข้าจะพยายามปรับปรุงตัว...นะ"
"ค่ะ"
โมโนกลั้นสะอื้นไว้ นึกอยากบอกเขาให้ได้เช่นกันว่าเธอจะพยายามปรับปรุงตัว
เธอเองก็มีข้อเสียมากมายเหมือนกัน
...แต่ไม่มีเวลาเหลืออีกแล้วนี่นา...
"ที่ข้าจะบอกก็มีเท่านี้แหละ"
เขาหันมาส่งยิ้มให้ "แล้วเรื่องที่เจ้าจะบอกล่ะ"
เด็กสาวรู้สึกเหมือนมีก้อนหินมาจุกคาในลำคอ
ในเมื่อเขาพูดอย่างนี้แล้ว...เธอจะแข็งใจบอกได้เชียวหรือว่าให้พาเธอกลับไปในวันพรุ่งนี้
ถ้าอย่างนั้นจะบอกอะไรแทนล่ะ
...ข้าคิดว่าข้าอาจจะท้อง... อย่าเลย ถ้าเธอยังไม่แน่ใจ
แล้วถึงบอกไปตอนนี้จะทำอะไรได้
...'ตัวข้าอีกคนหนึ่ง'
ที่ข้าเคยพูดถึง จริงๆ แล้วคือ... เธอจะอธิบายให้เขาเข้าใจได้ยังไง
...ข้ามีโลหิตดำ...เพราะอย่างนั้นข้าถึงอยู่ร่วมกับท่านไม่ได้อีก... เขาคงไม่ยอมฟังแน่ๆ
"ข้า..."
สุดท้ายโมโนก็เริ่มพูดอย่างลังเล
"ข้า...ก็มีเรื่องต้องปรับปรุงตัวตั้งเยอะเหมือนกันแหละค่ะ ถึงข้าจะไม่รู้ว่าข้าจะได้อยู่กับท่านไปอีกนานเท่าไร
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น..."
เธอก้มหน้าลง
สองมือบีบแน่นบนตัก
"ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...ข้าก็ดีใจที่ได้พบท่าน
แล้วก็...ดีใจที่เราได้อยู่ด้วยกันในตอนนี้นะคะ"
เด็กสาวกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป
พอยกมือขึ้นปาดออก คนจรก็ประคองที่ไหล่ เลื่อนหน้าเข้ามาจูบตามรอยน้ำตา
"ข้าก็เหมือนกัน"
โมโนโผเข้ากอดเขา
ไม่เหลือความคิดอะไรอีก...นอกจากอยากลืมเลือนทุกสิ่งไปในความอบอุ่นของอ้อมกอดนี้
เธอหลับตาลงพร้อมกับนึกวอนขอทวยเทพ
ได้โปรดเถอะ...ข้ารู้ว่าความรู้สึกของข้าอาจจะผิด...อาจจะเป็นบาป...
แต่ข้าจะขอเวลามากกว่านี้อีกหน่อยได้ไหม
...และวอนขอเขา
"พี่คนจรคะ..."
"หือ"
"...ข้า...เอ่อ...ข้าจะ...ขออะไรหน่อยได้ไหมคะ"
เธอก้มหน้าลง อายเกินกว่าจะพูดมากกว่านั้น
ริมฝีปากของเขาเข้ามาเคลียที่ข้างหูก่อนจะกระซิบ
"ข้าขออนุญาตเดาได้ไหม"
"...ข...ข้าว่าท่านคงรู้แล้วล่ะ"
โมโนพึมพำทั้งหน้าแดงก่ำ
คำตอบนั้นเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ
ก่อนที่ร่างของเธอจะถูกช้อนขึ้นในวงแขนแข็งแกร่ง
แล้วริมฝีปากของอีกฝ่ายก็ประทับลงกับเรียวปากอ่อนนุ่ม
แนบแน่นเนิ่นนานแม้ในขณะที่เขาอุ้มเธอไปยังอีกห้องหนึ่ง
เรื่องราวต่างๆ
ควรจะดำเนินไปเช่นนี้หรือเปล่านะ
เด็กสาวหาคำตอบไม่ได้
แต่เมื่อมองใบหน้าของเด็กหนุ่มที่หลับสนิทอยู่ข้างกายทั้งๆ
ที่แขนของเขายังสวมกอดเธออยู่ ก็ให้รู้สึกว่า...เป็นอย่างนี้อาจจะดีที่สุดแล้วก็ได้
ให้สัมผัสอ่อนโยนในคืนนี้ชะล้างรอยแผลทั้งหมดออกไป ทั้งจากเขาและเธอ
ให้ริมฝีปากสื่อคำว่า 'ให้อภัย'
มอบต่อต่างฝ่ายโดยไม่ต้องเอ่ยวาจาใด
...แบบนี้แหละดีแล้ว...
วันพรุ่งนี้คงจะเป็นวันที่สดใสขึ้น
ทั้งสองจะตื่นขึ้นมา กินอาหารเช้า แยกย้ายไปทำงานของต่างฝ่ายก่อนจะกลับมาพบกันในตอนเย็น
พูดคุยกันและเข้านอนด้วยกันในยามค่ำ
วันพรุ่งนี้ของวันพรุ่งนี้ก็คงจะเป็นเหมือนเดิม
แล้วก็วันพรุ่งนี้ของวันพรุ่งนี้ของวันพรุ่งนี้...
หากวันแบบนี้ดำเนินต่อไปได้โดยไร้จุดสิ้นสุดก็คงจะดีเหลือเกิน
"โมโน
เสร็จหรือยัง"
"ค่ะ
จะไปเดี๋ยวนี่แหละ" คนขานรับวางหวีลงบนโต๊ะ จากนั้นก็มองสำรวจเงาของตนในกระจก
ดึงชายผ้าผูกผมด้านหลังให้เท่ากันแล้วจึงผละจากหน้ากระจก
ไม่ทันเห็นเงาสะท้อนที่เหลือบแลเธอก่อนจะเผยรอยยิ้มกึ่งหยันกึ่งเศร้าที่มุมปาก
คนจรมองแทบไม่วางตาเมื่อเด็กสาวเดินออกมาที่ห้องด้านนอก
พอเห็นเธอสวมชุดกระโปรงสีเขียวใบไม้ตัวโปรดของเธอ
มีผ้าสีเขียวเข้มปักลายดอกไม้ขาวคลุมไหล่ เขาก็อดเปรยขึ้นไม่ได้
"เจ้าดูสวยมากเลย"
โมโนหัวเราะเบาๆ เสไปลูบชายพู่ด้านหนึ่งของผ้าคลุมไหล่แก้เขิน
"ฝากบอกเซราด้วยนะคะว่าข้าชอบผ้าผืนนี้มาก
ทั้งสวยทั้งนุ่ม ฝีมือนางดีจริงๆ"
"ข้าว่าเจ้าไปบอกเองดีกว่ามั้ง" เด็กหนุ่มรับพร้อมกับยิ้มแห้งๆ
"ข้าไม่อยากต้องระเห็จไปแย่งที่นอนอะโกรทั้งคืนจริงๆ
เพราะเจ้าไปเห็นข้ายืนคุยกับนางที่ข้างทางหรอกนะ"
"เอ๊ะ...ข้าไม่ได้ขี้หึงขนาดนั้นนะคะ"
เด็กสาวรีบพูดเป็นพัลวัน "ก...ก็แค่เมื่อคืนวาน...ข้า...ข้ารู้สึกไม่ค่อยดี
เลยคิดมากไปเท่านั้นเอง"
"หิวจนตาลายรึเปล่าหนอ"
"ไม่ได้เป็นอย่างนั้นสักหน่อย!"
เธอโต้กลับ "คนที่หิวจนท้องร้องน่ะท่านต่างหาก อะโกรเป็นพยานได้นะ"
คนจรหัวเราะออกมาก่อนจะเลื่อนมือไปข้างหลัง
ทำท่าจะโอบไหล่เธอ
"รู้แล้วขอรับภรรยาคนสวย
จำเลยผิดทุกประการที่กลับบ้านเลยเวลา
ขออนุญาตไปส่งถึงที่ทำงานเพื่อเป็นการไถ่โทษก็แล้วกัน"
"อะไรกัน...ก็ไปส่งทุกวันอยู่แล้วนี่นา
ไม่เห็นจะไถ่โทษตรงไหนเลย" โมโนแกล้งเชิดหน้าสูง เดินลิ่วๆ
ออกนอกประตูให้เขาโอบอากาศเก้อ เลยต้องรีบก้าวยาวๆ
ตามไปหลังจากลงกลอนประตูบ้านแล้ว
"ถ้าอย่างนั้น...จะให้ข้าทำอะไรให้ล่ะขอรับ"
"อืม" เด็กสาวยิ้มกริ่มโดยไม่หันมามอง
"ถ้าตลาดที่นี่มีตุ๊กตาน้ำตาล...ท่านต้องซื้อให้ข้านะคะ"
"ได้อยู่แล้ว"
เด็กหนุ่มรับง่ายๆ เมื่อไม่เห็นว่าเป็นเรื่องหนักหนาอะไร
แต่แล้วก็เริ่มไม่แน่ใจกับคำพูดต่อมา
"ทุกแบบที่ร้านนั้นขายด้วย"
"เดี๋ยว...กินเยอะแบบนั้นไม่กลัวอ้วนเหรอ"
"เอ๊ะ
แล้วเมื่อคืน ใครกันนะที่บอกว่าข้ามีเนื้อมากกว่านี้หน่อยก็ยังได้
จะได้กอดได้เต็มมือ"
"เอ่อ...'เต็มมือ' กับ 'ล้นมือ' ไม่เหมือนกันหรอกนะ"
"ไม่รู้ด้วยล่ะ
ท่านบอกเองนี่ว่าไม่ว่าข้าดูเป็นยังไง ท่านก็จะรัก"
"อ...อืม"
"แล้วก็ข้อสอง..."
"มีข้อสองอีกเหรอ"
"มีสิคะ"
'โจทก์' และ 'ผู้พิพากษา' ในคนเดียวกันหยุดเดิน
หันกลับมาส่งสายตาดุใส่
"...ว่ามาเลยขอรับ"
เขาทันเห็นร่างน้อยยิ้มแวบหนึ่งก่อนจะหันกลับไป
ก้าวพร้อมกับพูดต่อ
"ถ้าบ้านไหนที่มีแต่ผู้หญิงอยู่จ้างท่านไปทำงานอะไร...ท่านต้องบอกข้าทุกครั้งนะคะ
แล้วถ้ากลับเย็น ต้องให้ข้าไปดูท่านทำงานที่บ้านนั้นด้วย"
"หา..."
เด็กหนุ่มแทบอ้าปากค้าง "มันจะไม่เกินไปหน่อยเหรอ"
"ค่ำมืดดึกดื่น
ทิ้งข้าให้อยู่บ้านคนเดียวไม่เป็นห่วงบ้างเหรอคะ" โมโนกลับตอบ
"เอ้อ...ข้ารู้แล้ว เอาอย่างนั้นก็ได้"
คนจรรับพร้อมกับย้ำในใจว่าเขาเห็นด้วยตามเหตุผลของภรรยาหรอกถึงได้ตกลง ไม่ได้มีเหตุอื่นแอบแฝงทั้งสิ้น
"อืม...แล้วก็ข้อสาม..."
"เดี๋ยว...ยังมีอีกเหรอ!"
คนขอหัวเราะคิกก่อนจะหมุนตัวกลับมาส่งยิ้มให้
แล้วเดินย้อนมาคว้ามือของเขาเอาไว้
"แค่จูงมือพาข้าไปส่งที่ร้านของท่านหมอทุกวันก็พอแล้วล่ะค่ะ"
เด็กหนุ่มแสร้งถอนใจเฮือก
แต่ก็กลั้นยิ้มไม่อยู่ขณะเริ่มเดินนำเด็กสาวไปตามทางลูกรังสายเล็ก
เหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมาในหมู่บ้านนี้
Note: ไชโย...จบจนได้ ^^
บรรยากาศตอนนี้เบากว่าที่ผมคิดไว้ตั้งเยอะ
ทั้งๆ ที่ในทีแรกผมว่าสองคนนี้มีเรื่องต้องเคลียร์กันยาวแฮะ ^^;;; อาจเป็นเพราะผมไม่อยากให้ทะเลาะทุ่มเถียงกันยาว
โมโนเองก็รู้ตัวว่าตัวเองทำเกินเหตุ
ส่วนคนจรเองก็รู้ตัวจากตอนที่ตัวเองทิ้งเปลือกหอยต่อหน้าโมโนว่าอาละวาดตามก็มีแต่จะทำร้ายต่างฝ่ายไปกว่าเดิม
และไม่อยากเห็นโมโนต้องเสียใจเหมือนคราวก่อนๆ ด้วย
ส่วนวัยเด็กของทั้งสองกับของว่างเล็กๆ
น้อยๆ นั่นก็เป็นส่วนที่ผมอยากใส่เพราะเห็นว่าน่ารักดี
ตุ๊กตาน้ำตาลนั้นเป็นขนมที่ผมมักเห็นบ่อยๆ
เวลามีงิ้วมาเล่นในเทศกาลแถวบ้านและมีงานออกร้าน ผมเองก็เคยขอซื้อรูปนกหรือไก่
กับลุงตกปลามากินเหมือนกัน ดูๆ ไปก็สวยดี แต่รสของมันก็น้ำตาลดีๆ เหมือนกันนี่เอง ^^;;;
ตอนแรกๆ
ผมคิดให้ผ้าคลุมไหล่เป็นสีเขียว เพราะคิดว่าโมโนน่าจะเหมาะกับสีเขียวมากกว่าสีฟ้า
แล้วพอผมมานึกถึงความหมายของสีเขียวในเซ้นส์ของฝรั่ง
ก็รู้สึกว่าเข้ากันดีทีเดียว เพราะสีนี้นอกจากหมายถึงความเยาว์วัยและความสดชื่นแล้ว
ยังหมายถึง jealousy - อิจฉาริษยา
หึงหวง ได้ด้วย ^^;;;
สำหรับฉากท้ายของเรื่องตั้งแต่โมโนตื่นขึ้นมาหวีผมแล้วออกจากบ้านไปกับคนจรนั้นเป็นฉากที่ผมคิดสด
เขียนสด ไม่ได้มีไว้ในพล็อตตอนแรกเลย แต่พอออกมา ก็ทำให้ผมรู้สึกสนุกกับการเขียน
และคิดว่าลงตัวดีทีเดียวครับ :)
และของแถมเป็นฉากเบื้องหลัง
(จาก) ไซด์ชุดนี้ครับ
ฉาก
ทั้งสองคนกลับมาถึงบ้านในเย็นวันนั้น กำลังรอโมโนทำอาหารเย็นให้เสร็จ
คนจร:
โมโน ข้าขอถามอะไรหน่อยได้ไหม
โมโน: คะ? มีอะไรเหรอคะ?
คนจร:
คือ...เรื่องคืนนั้น ถ้าข้าจะขอถามอะไรหน่อย เจ้าจะรู้สึกไม่ดีหรือเปล่า?
โมโน: (เริ่มกังวลว่าด้านมืดตัวเองจะถูกจับได้
แต่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะถามอะไร) ...ลองถามมาก่อนก็ได้ค่ะ
คนจร:
(เริ่มเกาหัวแกรกแก้อาย) ก็ที่เจ้า...ทำ...แปลกๆ ไปในคืนนั้นน่ะ
โมโน: (ตัวชาวาบ) ......
คนจร:
คือ...ถ้าเป็นอย่างที่ข้าคิดจริงๆ ข้าก็ไม่ว่าหรอกนะ คือข้าเข้าใจ
แล้ว...แล้วก็หวังว่าเจ้าจะเข้าใจข้าเหมือนกัน
โมโน: (เริ่มคิดมาก) .oO(อย่าบอกนะว่าพี่คนจรก็มีด้านมืดเหมือนกัน
?)
คนจร:
ข้าคิดว่า...เอ่อ...มันไม่แปลกหรอก ก็...ก็มันเป็นเรื่องธรรมชาตินี่นา
ยอมรับออกมาตรงๆ ก็ได้
โมโน: (ทำทัพพีตกพื้น) นี่ท่านรู้เหรอคะ!?!
คนจร:
...สรุปว่าเจ้ายอมรับสินะ
โมโน: (ก้มหน้ามองพื้น สองมือขยุ้มผ้ากันเปื้อนแน่น)...อะ...เอ่อ...ข้า...
คนจร:
...ว่าเจ้าเจอ...หนังสือปกขาวที่ข้าซ่อนไว้ในช่องลับของกระเป๋า
แล้วแอบเอามาอ่าน...
โมโน: (เงยหน้าหันขวับเหมือนซาดาโกะถูกไฟช็อต พูดเสียงเย็นๆ) หนังสือ...อะไร...นะคะ?
คนจร:
อ้าว...ไม่รู้หรอกเหรอ o_O!!
เหตุการณ์หลังจากนั้นโหดร้ายจนไม่สามารถแพร่ภาพออกอากาศได้
= =;; จึงขอจบลงแต่เพียงเท่านี้
เอวัง